พระเจ้าอโศกมหาราช...ทรงสร้างวัดและเจดีย์

 
พุทธรักษา
วันที่  5 มี.ค. 2552
หมายเลข  11508
อ่าน  6,569

ขอนอบน้อมแดพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระเจ้าอโศกมหาราช มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งวันหนึ่ง พระราชา ทรงถวายมหาทาน อยู่ที่ อโศการาม ทรงตรัสถามปัญหาท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชื่อว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว มีประมาณเท่าไร" พระสงฆ์ถวายพระพรว่า "มหาบพิตร ชื่อว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วมี ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์"

พระราชา เมื่อทราบว่าพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามี ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทรงรับสั่งว่า เราจักบูชาพระธรรมขันธ์ แต่ละขันธ์ ด้วยวิหารแต่ละหลัง จึงโปรดให้สร้างวิหารและเจดีย์ไว้ในนครต่างๆ จนครบ ๘๔๐๐๐ แห่งทั่วชมพูทวีป ส่วนพระองค์เอง ทรงสร้างพระวิหารในเมือง ปาฏลีบุตร ชื่อว่า อโศการาม โดยมี ท่านพระอินทคุตตเถระ ผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ผู้สิ้นอาสวะแล้ว เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และเสร็จสิ้นลงภายใน ๓ ปี เมื่อสร้างวิหารเสร็จแล้ว พระราชาตรัสถามพระภิกษุสงฆ์ ว่า "โยมให้สร้างวิหาร ๘๔๐๐๐ แห่งแล้ว จักได้พระบรมสารีริกธาตุมาแต่ไหนเล่า"

ภิกษุสงฆ์ทูลว่า สถานที่เก็บพระบรมสารีริธาตอยู่ในกรุงราชคฤห์นี้ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน พระราชารับสั่งให้รื้อพระเจดีย์ในกรุงราชคฤห์ แต่ก็ไม่พบ ทรงให้ทำพระเจดีย์ กลับคืนดีอย่างเดิม แล้วทรงพาเหล่าพุทธบรษัท ๔ ไปยังเมืองต่างๆ ในที่ทุกแห่งที่เสด็จไป ก็ไม่ได้พบพระบรมสารีริกธาตุเลย

พระราชา รับสั่งให้ประชุมพุทธบริษัท ๔ แล้วตรัสถามว่าผู้ใด ทราบเรื่องสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตบ้าง ที่ประชุมนั้น มีพระเถระรูปหนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี กล่าว่า เมื่ออาตมภาพอายุ ๗ ขวบ พระมหาเถระผู้บิดาของอาตมภาพ ได้ใช้ให้อาตมภาพถือหีบมาลัย แล้วสั่งว่า มานี่ สามเณร ในระหว่างกอไม้ ทางทิศอาคเนย์ มีสถูปหินอยู่ เราจักไปสักการะบูชากันในที่นั้น อาตมภาพรู้แต่เพียงเท่านี้

พระราชาตรัสว่า ที่นั้นแหละ แล้วมีรับสั่ง ให้ตัดกอไม้ นำสถูปหิน และดินที่กลบไว้ออก เห็นเป็นพื้น โบกปูนเอาไว้ จึงรับสั่งให้ทำลายปูนที่โบกไว้ และแผ่นอิฐ ตามลำดับ แล้วทอดพระเนตรเห็นทรายรัตนะ ๗ ประการ และรูปหุ่นยนต์กำลังถือดาบเดินวนเวียนอยู่ ท้าวเธอ รับสั่งให้เซ่นสรวง ก็ยังไม่เห็น จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลาย ตรัสว่า เมื่อข้าพเจ้ารับพระบรมสารีริกธาตุแล้ว จะนำไปบรรจุในวิหาร ๘๔๐๐๐ แห่ง เพื่อกระทำการสักการะ ขอเทวดา อย่าทำอันตรายแก่ข้าเจ้าเลย

ขณะนั้น ท้าวสักกะเทวราช ทรงเห็นพระเจ้าอโศกแล้ว ทรงเรียก พระวิสสุกรรมเทพบุตร มาสั่งว่า พ่อเอ๋ย พระธรรมราชาอโศกจักนำพระบรมสารีริกธาตุ ไปเผยแผ่ แก่ชาวโลก เธอจงลงไปสู่บริเวณนั้น แล้วทำลายรูปหุ่นยนต์เสีย วิสสุกรรมเทพบุตร แปลงเพศ เป็นเด็กชาวบ้านไว้จุก ยืนถือธนูตรงพระพักตร์ของพระเจ้าอโศก ทูลว่า ข้าจะนำไป มหาราช พระราชาตรัสว่า นำไปสิ พ่อ วิสสุกรรมเทพบุตรจับศรยิงไปที่สลักบังคับหุ่นยนต์ ทำให้ทุกอย่างกระจายไป

ครั้งนั้น พระราชาทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณี มีอักษรจารึกว่า ในอนาคตกาลให้พระเจ้าแผ่นดินถือเอาแก้วมณี แท่งนี้ ทำลายดวงตรา พระราชากระทำตาม ทรงเปิดประตู แล้วเสด็จเข้าไปบูชาพระบรมสารีริกธาตุภายในสถานที่นั้น ดวงประทีปที่ตามไว้ เมื่อเริ่มสร้างสถูป ก็ยังโพลงอยู่เช่นเดิม

ดอกบัวขาบ ก็เหมือนเพิ่งนำมาวางไว้ในขณะนั้น เครื่องหอม ก็เหมือนมีผู้นำมาวางไว้ เมื่อครู่นี้เอง พระเจ้าอโศก ทรงถือแผ่นทองคำที่จารึกเอาไว้ว่า ในอนาคตกาล ครั้งพระกุมาร พระนาม ว่า อโศกจักเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เป็น พระธรรมราชา ท้าวเธอ จักทรงกระทำพระบรมสารีริกธาตุ เหล่านี้ให้แพร่หลายออกไป

พระราชากระพุ่มพระหัตถ์ ทรงกระทำอัญชลี ด้วยปีติโสมนัส จากนั้นได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดออกมา แล้วปิดเรือนพระบรมธาตุไว้ ทรงทำทุกแห่งให้ปกติดังเดิม แล้วโปรดให้ประดิษฐานปาสาณเจดีย์ (สถูปหิน) ไว้ข้างบน

พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ทั้งสิ้น ๘๔๐๐๐ องค์ ทั่วชมพูทวีปเสร็จแล้ว ก็ได้เตรียมการฉลองอย่างโอฬาร รับสั่งให้ประชาชน สมาทานศีล ๘ โดยมีพระประสงค์ จะทำการฉลองพระอาราม และ พระเจดีย์ให้ครบ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

พระราชาประทับที่อโศการาม ทอดพระเนตรดูการฉลองพระวิหาร ที่รุ่งโรจน์ ด้วยการบูชาสักการะ ของมหาชนด้วยความปีติ ปราโมทย์ แล้วตรัสถามพระภิกษุสงฆ์ ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในศาสนา ของพระทศพลโลกนาถเจ้า ของเราทั้งหลาย มีผู้ใดบ้างที่ได้สละปัจจัยมากมาย ทำการสร้างพระวิหารและเจดีย์เป็นต้น เพื่อถวาย เป็นสมบัติของพระศาสนาเช่น ที่โยม กระทำอยู่ บัดนี้ จะถือได้ ว่าโยมเป็นทายาทแห่งพระศาสนาได้หรือไม่

พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ทูลตอบว่าขึ้นชื่อว่า ผู้ถวายปัจจัยในพระศาสนาของพระศาสดา เช่นกับพระองค์แม้เมื่อพระตถาคตยังทรงพระชนมม์อยู่ ไม่มีผู้ใดเลย พระองค์เท่านั้น ทรงมีการบริจาคยิ่งใหญ่พระองค์ เป็นผู้เชิดชูยกย่องพระศาสนาโดยแท้ แต่แม้กระนั้น พระองค์ ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเพียง ปัจจยทายก คือ ผู้อุปัฏฐากพระศาสนาเท่านั้น ต่อเมื่อใด ที่พระองค์ทรงยินยอมให้ทายาทของพระองค์ ได้บวชเมื่อนั้น พระองค์จึงจะได้ชื่อว่าเป็น ทายาท ของพระศาสนา อย่างแท้จริง

พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระโอรสซึ่งประทับอยู่ไม่ไกลนัก ดำริว่า เราประสงค์จะสถาปนา พระกุมารองค์นี้ไว้ในตำแหน่งอุปราช จำเดิมแต่ที่ ติสสกุมาร ผนวชแล้ว ก็จริงอยู่ แต่ถึงกระนั้น การบรรพชาเป็นคุณชาติอันอุดมกว่าตำแหน่งอุปราช พระราชาจึงตรัสถาม พระโอรส และพระธิดา ว่า เธอบวชได้ไหม ทั้งสองพระองค์ ประสงค์จะผนวชอยู่แล้ว ทูลตอบว่า ได้ พระเจ้าข้า พระราชาทรงขอบใจพระโอรส และพระธิดา ทรงมีพระหฤทัยเบิกบาน ตรัสกับพระภิกษุสงฆ์ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย จงให้กุมาร และกุมารี เหล่านี้บวชเพื่อกระทำโยม ให้เป็นทายาทของพระศาสนาเถิด พระราชา ทรงให้พระโอรส และ พระธิดา คือ พระมหินท์ และ พระนางสังฆมิตตา ผนวชในพระพุทธศาสนา

ครั้งนั้น ได้ยินว่า พระมหินท์ มีพระชนมายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ส่วน พระนางสังฆมิตตา มีพระชนมายุ ๑๘ ปี พระสงฆ์รับพระราชดำรัสแล้วให้ พระมหินท์บรรพชาอุปสมบท โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เป็นองค์อุปัชฌาย์ พระมหาเทวเถระ เป็นอนุสาวนาจารย์ พระมัชฌันติกเถระ เป็นกรรมวาจาจารย์ พระมหินท์บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ในมณฑลที่อุปสมบทนั้นเอง ส่วน พระนางสังฆมิตตา บรรพชาเป็นสามเณรี (เพราะอายุไม่ถึง ๒๐ ปี) โดยมี พระปาลิตเถรี เป็นอุปัชฌาย์ พระอายุปาลิตเถรี เป็นกรรมวาจาจารย์ พระนางสังฆมิตตาได้บรรลุอรหัตตผล เป็นพระขีณาสพเถรี ในคราวที่บรรพชานั้นเอง

หลังจากผนวชแล้ว พระมหินท์เถระได้ศึกษาพระธรรม และ พระวินัย อยู่ในสำนักของพระอุปัชฌาย์ ได้เรียนเอาเถรวาททั้งหมด พร้อมทั้งอรรถกถาจบภายใน ๓ พรรษา ได้เป็นปาโมกข์ (หัวหน้า) ของภิกษุประมาณ ๑๐๐๐ รูป ผู้เป็นศิษย์ของ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ

ข้อความบางตอนจากหนังสือ "พระพุทธกิจ ๔๕ พรรษา" เรียบเรียงโดย คุณสุรีย์ และ เรือโท วิชัย มีผลกิจพิมพ์เผยแพร่โดย "คณะสหายธรรม"

ขออนุโมทนา

ข้อความบางตอนจากบทที่แล้ว

เรื่อง พระเจ้าอชาตศัตรู - พระมหากัสสปเถระเก็บพระบรมสารีริกธาตุ

หลังจากการสังคายนาครั้งแรกเสร็จสิ้นแล้วในกาลต่อมา พระมหากัสสปเถระ พิจารณาเห็นอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น แก่พระบรมสารีริกธาตุ ในอนาคตจึงเข้าไปเฝ้า พระเจ้าอชาตศัตรู แล้วทูลว่า มหาบพิตร พระองค์ควรเก็บพระบรมสารีริกธาตุมารวมไว้ที่ กรุงราชคฤห์ ฯลฯ พระเถระ ได้อัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ จากราชตระกูล ทั้ง ๗ มาประดิษฐานรวมไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งทางทิศอาคเนย์ แห่งกรุงราชคฤห์

ส่วนพระบรมธาตุในรามคาม เหล่านาคเก็บรักษาไว้ ด้วยพระเถระเห็นว่า ต่อไปในอนาคตเหล่านาค จะอัญเชิญพระบรมธาตุ ไปประดิษฐานไว้ในพระมหาเจดีย์ ในมหาวิหารลังกาทวีป ฯลฯ

ครั้งนั้น พระมหากัสปเถระ อธิษฐานว่าขอดอกไม้อย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีปอย่าหมดเชื้อ ให้จาริกอักษรบนแผ่นทองคำว่า ในอนาคตกาลครั้งพระกุมาร พระนามว่าอโศก จักเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระธรรมราชาท้าวเธอ จักทรงกระทำพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้

พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงเปลื้องเครื่องประดับทั้งหมดบูชา ทรงปิดประตูทองแดง แล้วเสด็จออกมา ทรงคล้องตราพระราชลัญจกร (เครื่องหมายของพระมหากษัตริย์) ไว้ที่ประตู ทรงวางแท่งแก้วมณีแท่งใหญ่ ไว้ที่ตรงนั้น แล้วโปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล ครั้งแผ่นดินพระเจ้าอโศกมหาราช เสด็จมา ณ ตรงนี้ จงถือเอาแท่งแก้วมณีนี้ ทำลายดวงตรา แล้วเปิดประตู เข้าไปกระทำสักการะพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายเถิด

ท้าวสักกะเทวราช เรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา แล้วสั่งว่าพ่อเอ๋ย พระเจ้าอชาตศตรูทรงเก็บพระบรมสารีริกธาตุแล้วเธอจงตั้งกองรักษาการณ์ไว้ ณ ที่นั้น วิสสุกรรมเทพบุตร ประกอบหุ่นยนต์ มีโครงร่างร้าย ถือพระขรรค์ สีแก้วผลึก รักษาบริเวณห้องพระบรมสารีริกธาตุ หุ่นยนต์นั้น เคลื่อนตัวได้รวดเร็วเหมือนลมวิสสุกรรมเทพบุตรประกอบหุ่นยนต์แล้ว ติดสลักบังคับไว้อันเดียวเท่านั้น แล้วเอาศิลาล้อมไว้โดยรอบ เสมือนเรือนสร้างด้วยอิฐ ข้างบนปิดด้วยศิลาแผ่นเดียว กลบดินเกลี่ยพื้นให้เรียบ แล้วประดิษฐานสถูปหิน ไว้ข้างบน ฯลฯ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 6 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
sopidrumpai
วันที่ 6 มี.ค. 2552

เชื่อมั้ยคะว่าปิติ น้ำตาซึม ขณะอ่านพระสูตรนี้

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 6 มี.ค. 2552
เช่นกันครับ สาธุ ขอกราบอนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 6 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 8 มี.ค. 2552

อนุโมทนาบุญกับพระเจ้าอชาติศัตรูและอนุโมทนาบุญกับพระเจ้าอโศกด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Wiyada
วันที่ 7 ธ.ค. 2566

เป็นความปิติอย่างยิ่งเช่นกันค่ะที่ได้อ่านเรื่องนี้นับเป็นบุญอย่างยิ่ง พุทธศาสนามีความน่าอัศจรรย์อย่างที่ไม่สามารถจะเอ่ยเป็นถ้อยคำใดๆ ได้ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์สาวกทั้งหลายผู้ปฏิบติดีแล้วในพระพุทธศาสนา อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้พบกับพุทธศาสนาในชาตินี้ ขออุทิศกุศลทั้งหลายให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวง ขอความสวัสดีจงมีแก่โลกทั้งปวงด้วยเทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ