ความรู้...ต้องเริ่มจากการศึกษา...?

 
พุทธรักษา
วันที่  4 ม.ค. 2552
หมายเลข  10842
อ่าน  905

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

ท่านผู้ฟัง ขณะที่สติเกิดนั้น เรามักจะพิจารณานานๆ บางที ก็ไม่นาน แต่ถ้าพิจารณานานๆ จะกลายเป็นว่า เราไปจดจ้องหรือเปล่า ผมมักจะเตือนตัวเองว่า เราไปจดจ้องหรือเปล่า

ท่านอาจารย์ อย่าคิดถึงเรื่องเวลาดีกว่า ว่า นาน หรือ ไม่นาน แต่ควรเป็นการศึกษาจริงๆ ที่จะรู้ ลักษณะ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนอย่างการศึกษาทางโลก เวลาที่กำลังจะศึกษาให้เข้าใจไม่ว่าจะเป็นวิชาใดๆ ไม่คำนึงถึงเวลาใช่ไหมคะ ว่าศึกษานาน หรือไม่นานแต่ความรู้ ความเข้าใจ เกิดขึ้นเมื่อไร ขณะไหน ก็ได้จะน้อย หรือมาก เป็นเรื่องอนัตตา

สติ จะเกิดน้อยเกิดมาก จะระลึกรู้ ลักษณะของนามใด รูปใด ทางทวารไหน มากน้อย ก็เป็น อนัตตา (สติก็เป็นอนัตตา) เช่น การเห็น ในขณะนี้นะคะ สติของบางท่าน อาจจะเกิดระลึก...ศึกษาระลึกแล้ว ต้องศึกษาอย่าเป็น ระลึกแล้ว รู้เลยเพราะเป็นไปไม่ได้ที่ระลึกแล้ว รู้เลย ว่า ไม่ใช่ตัวตน

กำลังเห็นอย่างนี้นะคะศึกษาจริงๆ ที่จะรู้ว่า ขณะที่เห็น เป็นธาตุรู้เพื่อจะได้รู้ชัดว่า เมื่อเกิดความรู้ ใน "ธาตุรู้" แล้ว จะไม่สับสนระหว่างลักษณะของ นามธรรม และ รูปธรรมเห็น คือ ธาตุรู้ เป็นนามธรรม ไม่ใช่ รูปธรรม (สิ่งที่ปรากฏทางตา) เวลานี้ รูปที่ปรากฏทางตา กับการเห็น แยกกันไม่ออกยังสับสนอยู่ ว่า การเห็น มีลักษณะ อย่างไร ลักษณะ ของสิ่งที่ปรากฏทางตาต่างกับ ลักษณะ ของการเห็น อย่างไรถ้าสติไม่ระลึก ก็ยังสับสนอยู่

ดังนั้น การที่จะระลึก ในขณะที่เห็นนี้ที่จะเป็น "ความรู้" ต้องเริ่มจาก "การศึกษา" ในขณะที่กำลังเห็นนี้เอง สติระลึกได้ และรู้ว่า การเห็น เป็นแต่เพียง "ธาตุรู้" หรือ สภาพรู้และขณะนี้ สภาพรู้ ก็รู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" นี่คือการศึกษาในสภาพเห็น ซึ่งเป็นนามธรรม ทางทวารหนึ่งจาก ๖ ทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ

ฉะนั้น ต้องมี "สภาพนามธรรมที่กำลังปรากฏ" แล้วก็มี "สติ" ที่ระลึก พร้อมกับ การศึกษา รู้ว่า ขณะนั้นเป็น ลักษณะ ของสภาพรู้ นั้นๆ เพื่อการแยก ได้ยิน กับ เสียง ออกจากกัน
ลักษณะ ของนามธรรม แต่ละอย่าง ต่างกัน สติ รู้ชัด ว่า นามธรรมทางตา ก็มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ สภาพที่รู้ได้เฉพาะสีสัน ที่ปรากฏทางตา นามธรรมทางหู ก็มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ สภาพที่ได้ยินเฉพาะเสียง ที่ปรากฏทางหู (แต่ละทวาร มีสภาพรู้คือ นาม และสิ่งที่ถูกรู้ คือ รูป ต่างกัน)

ฉะนั้น เมื่อลักษณะ ของสภาพธรรมไม่ใช่อันเดียวกันสติ และ ปัญญา ก็สามารถแยกได้ระหว่าง นามธรรมประเภทต่างๆ ที่ปรากฏ ทางทวารต่างๆ ระหว่าง รูปธรรม ที่ปรากฏให้รู้ได้ ทางทวารต่างๆ จนกว่าจะ "ประจักษ์" การเกิดดับ ของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ละลักษณะได้ เช่น ปัญญา รู้ว่า สภาพรู้ทางตา ดับขณะนั้น ไม่ใช่รูปารมณ์ หรือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ดับเพราะว่า สติ กำลังระลึกรู้ ตรง ลักษณะของสภาพเห็นซึ่งเป็น สภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นต้น

ถ้าความรู้ ยังไม่เพิ่มขึ้นอย่าคิดว่าจะสามารถ "ประจักษ์" การเกิดดับแล้วปัญญา ต้องรู้ชัดจริงๆ ว่า นามธรรมทางตา มีลักษณะอย่างไร นามธรรมทางหู นามธรรมทางใจ มีลักษณะอย่างไร ต้องเป็นการศึกษา อบรม ที่จะรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ


ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 5 ม.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 5 ม.ค. 2552

ต้องเป็นการศึกษา อบรมที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ทั่วทั้ง ๖ ทวารทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เพื่อสติ และปัญญาจะสามารถแยกได้ระหว่างนามธรรม และรูปธรรมประเภทต่างๆ ที่ปรากฎทางทวารต่างๆ จนกว่าจะ "ประจักษ์" การเกิดดับของสภาพธรรมที่ปรากฎแต่ละลักษณะได้

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เกมส์
วันที่ 5 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สุภาพร
วันที่ 7 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sam
วันที่ 7 ม.ค. 2552

เช่น การเห็น ในขณะนี้นะคะ สติของบางท่าน อาจจะเกิดระลึก ศึกษาระลึกแล้ว ต้องศึกษาอย่าเป็น ระลึกแล้ว รู้เลยเพราะเป็นไปไม่ได้ที่ระลึกแล้ว รู้เลย ว่า ไม่ใช่ตัวตน

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 7 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ