อุปมาการเกิด

 
สารธรรม
วันที่  7 ธ.ค. 2551
หมายเลข  10617
อ่าน  2,357

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๗๙๐

บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

... อุปมาการเกิด ...

ระผู้มีพระภาคก็ตรัสถึงการที่รู้ถึงคนทั้งหลายด้วยใจว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนี้เมื่อตายแล้วจะเกิดที่ไหน และทรงอุปมาว่า สำหรับการเกิดในนรกนั้นก็เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเปรียบเหมือนการตกหลุมคูถ การเกิดเป็นเปรต เปรียบเหมือนการเกิดในหมู่ต้นไม้ที่เกิดในพื้นที่อันไม่เสมอ มีใบอ่อนและใบแก่อันเบาบาง มีเงาอันโปร่ง เพราะฉะนั้น ก็ย่อมจะไม่ร่มเย็นเป็นสุข ย่อมเป็นผู้ที่หิวกระหายและทรมาน

สำหรับ การเกิดเป็นมนุษย์ เปรียบเหมือนการเกิดในหมู่ต้นไม้ ที่เกิดในพื้นที่อันเสมอ มีใบอ่อนและใบแก่อันหนา มีเงาหนาทึบ เพราะฉะนั้น บุคคลที่มีความร้อนแผดเผา ก็มุ่งไปสู่ต้นไม้นั้น แล้วก็เป็นผู้ที่ได้รับความสุข

สำหรับ การเกิดในสวรรค์ พระผู้มีพระภาคเปรียบเหมือนการเกิดในปราสาท ซึ่งมีเรือนยอดซึ่งฉาบทาดีแล้วมีวงกรอบอันสนิท หาช่องลมมิได้ มีบานประตูและหน้าต่างอันปิดสนิทดี

สำหรับผู้ที่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉทเปรียบเหมือนสระโบกขรณี ที่มีน้ำอันใสสะอาด เย็นใสตลอด มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ เพราะฉะนั้น คนที่มีความร้อนแผดเผา ก็มุ่งไปสู่สระโบกขรณี และได้อาบดื่ม ระงับความกระวนกระวาย

[๔๒๘] เมตตคูมาณพทูลถามปัญหาว่า ...

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์จงตรัสบอกข้อความนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด

ข้าพระองค์ย่อมสำคัญพระองค์ว่าทรงถึงเวท มีตนอันอบรมแล้ว ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นอันมาก มีมาแล้วแต่อะไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ...

ดูก่อนเมตตคู ท่านได้ถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราจะบอกเหตุนั้นแก่ท่านตามที่รู้ ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นอันมากย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ ผู้ใดไม่รู้แจ้งย่อมกระทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลมารู้ชัดเห็นชาติว่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่พึงกระทำอุปธิ .

ม. ข้าพระองค์ ได้ทูลถามความข้อใด พระองค์ก็ทรงแสดงความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ขอทูลถามความข้ออื่นอีก ขอเชิญพระองค์จงตรัสบอกความข้อนั้นเถิด

นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมข้ามโอฆะ ชาติ ชรา โสกะและปริเทวะได้อย่างไรหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ขอพระองค์จงตรัสพยากรณ์ธรรมอันเป็นเครื่องข้ามโอฆะให้สำเร็จประโยชน์ แก่ข้าพระองค์เถิด เพราะว่าธรรมนี้ พระองค์ทรงทราบชัดแล้วด้วยประการนั้น.

พ. ดูก่อนเมตตคู เราจักแสดงธรรมแก่ท่านในธรรมที่เราได้เห็นแล้ว เป็นธรรมประจักษ์แก่ตน ที่บุคคลทราบชัดแล้ว พึงเป็นผู้มีสติ ดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไป ในอารมณ์ต่างๆ ในโลกเสียได้.

ม. ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ก็ข้าพระองค์ยินดีอย่างยิ่ง ซึ่งธรรมอันสูงสุดที่บุคคลทราบชัดแล้ว เป็นผู้มีสติ พึงดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลกเสียได้.

พ. ดูก่อนเมตตคู ท่านรู้ชัดซึ่งส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ในส่วนเบื้องบน ในส่วนเบื้องต่ำและแม้ในส่วนเบื้องขวางคือท่ามกลาง จงบรรเทาความเพลิดเพลินและความยึดมั่นและวิญญาณในส่วนเหล่านั้นเสีย จะไม่พึงตั้งอยู่ในภพ. ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท ได้รู้แจ้งแล้วเที่ยวไปอยู่ ละความถือมั่นว่าของเราได้แล้ว พึงละทุกข์ คือ ชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะในอัตภาพนี้เสีย.

ม. ข้าพระองค์ยินดีอย่างยิ่งซึ่งพระวาจานี้ของพระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้โคตมโคตร ธรรมอันไม่มีอุปธิ พระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว พระองค์ทรงละทุกข์ได้แน่แล้ว เพราะว่าธรรมนี้ พระองค์ทรงรู้แจ้งชัดแล้ว ด้วยประการนั้น. ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนีพระองค์พึงทรงสั่งสอนชนเหล่าใดไม่หยุดยั้ง แม้ชนเหล่านั้นก็พึงละทุกข์ได้เป็นแน่ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เพราะเหตุนั้นข้าพระองค์จึงได้มาถวายบังคมพระองค์ด้วยคิดว่า แม้ไฉนพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงสั่งสอนข้าพระองค์ไม่หยุดหย่อนเถิด.

พ. ท่านพึงรู้ ผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ถึงเวทไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ติดข้องอยู่ในกามภพ ผู้นั้นแลข้ามโอฆะนี้ได้แน่แล้ว ผู้นั้นข้ามถึงฝั่งแล้ว เป็นผู้ไม่มีตะปู คือกิเลส ไม่มีความสงสัย นรชนนั้นรู้แจ้งแล้วแล เป็นผู้ถึงเวทในศาสนานี้ สละธรรมเป็นเครื่องข้องนี้ในภพน้อยและภพใหญ่เสียได้แล้ว เป็นผู้มีตัณหาปราศไปแล้ว ไม่มีกิเลสอันกระทบจิต หาความหวังมิได้ เรากล่าวว่า ผู้นั้นข้ามชาติและชราได้แล้ว.

เมตตคูปัญหาที่ ๔

ว่าด้วยข้ามชาติและชรา

[เล่มที่ 47] ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๙๐๕

ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 7 ธ.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชา ตราบนั้นก็ยังมีการเกิดอยู่ร่ำไปสำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องยาก โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดในกำเนิดมนุษย์ มีน้อยกว่าการไปเกิดในกำเนิดอื่นที่ไม่ใช่กำเนิดมนุษย์ กล่าวคือ เกิดในนรกเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานประการต่างๆ และไม่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเลย ดังนั้น เมื่อได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ก็ควรที่จะได้แสวงหาประโยชน์จากความเป็นมนุษย์ ด้วยความเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อย เพราะโอกาสของการที่จะมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์จะเหลืออยู่อีกนานเท่าใด ไม่มีใครทราบได้เลยและเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในที่ใด จะได้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา อีกหรือไม่ ก็ไม่มีใครสามารถทราบได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ชาตินี้กิเลส ยังมีมาก เต็มไปด้วยอกุศล อีกทั้งปัญญาก็ยังไม่เจริญขึ้น จึงไม่มีหนทางอื่นที่จะกำจัดกิเลสให้ออกไปจากจิตใจได้ นอกจากศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เริ่มต้นตั้งแต่ในชาตินี้ ก็ยังไม่สาย ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 7 ธ.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 8 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 9 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนา คุณสารธรรม (และอีกหลายท่าน) ที่ทำลิ้งค์ อุปธิ (และลิ้งค์อื่นๆ ) เพราะช่วยให้การศึกษาพระสัทธรรม สะดวก รวดเร็ว ชัดแจ้ง และ กว้างขวาง ยิ่งๆ ขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wirat.k
วันที่ 9 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Komsan
วันที่ 10 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornpaon
วันที่ 25 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ