แต่เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 658 - 65
เหตุที่ตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง
แต่เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐาน ไว้ ๔ อย่างเท่านั้น ไม่ยิ่งไม่หย่อน (ไปกว่านั้น) ?
เพราะทรงเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์.
อธิบายว่า บรรดาเวไนยสัตว์ทั้งหลาย พวก ตัณหาจริต พวก ทิฏฐิจริต พวก สมถยานิกะ และ วิปัสสนายานิก ะ (แยก) เป็นพวกละ ๒ ตามอ่อนและแก่กล้า ผู้มีตัณหาจริตอย่างอ่อน มี กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์หยาบเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์. แต่ผู้มีตัณหาจริตแก่กล้า มีเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานที่ละเอียด เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์.แม้ผู้มี ทิฏฐิจริต อย่างอ่อน มี จิตตานุปัสสนาสติปักฐาน ที่มีอารมณ์แยกออกไม่มากนักเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์. แต่ผู้มี ทิฏฐิจริต แก่กล้า มี ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่มีอารมณ์แยกประเภทออกไปมาก เป็นทางแห่งวิสุทธิ. และ สติปัฏฐาน ข้อแรกที่มีนิมิตจะที่พึงประสบได้ไม่ยาก เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ของ สมถยานิกบุคคล ประเภทยังอ่อน. ข้อที่ ๒ เป็นทางแห่ง วิสุทธิสมถยานิกบุคคล ประเภทแก่กล้า. เพราะท่านดํารงอยู่ได้ไม่มั่นคงในอารมณ์ที่หยาบ. ข้อที่ ๓ ที่มีอารมณ์แยกประเภทออกไปไม่มากนัก เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์แม้ของ วิปัสสนายานิกบุคคล ประเภทยังอ่อน. ข้อที่ ๔ ที่มีอารมณ์แยกประเภทออกไปมาก เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ของ วิปัสสนายานิกบุคคล ประเภทแก่กล้า. สติปัฏฐาน จึงตรัสไว้ ๔ อย่างเท่านั้น ไม่ยิ่งไม่หย่อน ด้วยประการดังที่พรรณนามาน ดังนี้.
ข้อความในอรรถกถาท่านอธิบายตามความจริงของธรรมะ มิได้หมายถึงให้เลือกอารมณ์อนึ่ง ตัวเราเป็นผู้มีตัณหาจริตอย่างอ่อน หรืออย่างกล้า ทิฏฐิอย่างอ่อนหรืออย่างกล้าถ้ายังไม่รู้ การสะสมความรู้ความเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ จะมีประโยชน์มากกว่าหรือไม่ครับ
การอบรมปัญญาเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องที่มีจริง กำลังเห็นขณะนี้รู้แล้วหรือยังคะ ถ้ายังไม่รู้เพียงแต่เริ่มระลึกเนืองๆ บ่อยๆ จนกว่าจะเป็นความรู้ขึ้น ปัญญามีหลายขั้น ขั้นฟัง ขั้นความเข้าใจเป็นปัญญาเบื้องต้น ที่จะนำไปสู่หนทางข้อปฏิบัติที่ถูก คือระลึกรู้ลักษณะทุกสิ่งที่มีจริง
แต่เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่างเท่านั้น ไม่ยิ่งไปหย่อน (ไปกว่านั้น) ?
เพราะทรงเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์.
นี่เป็นพระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าครับ ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงธรรมส่วนอื่นๆ ประกอบไว้โดยละเอียด เราก็อาจจะหลงคิดว่า เมื่อได้ศึกษาบางส่วน ก็คงจะทำให้พอทราบว่า ตนเองมีจริตหนักไปในทางอย่างนั้นบ้าง เบาไปในทางอย่างนี้บ้าง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องคิดเอาเองทั้งหมด แต่ผู้ที่จะทรงทราบจริตของสัตว์โลกทั้งหลายอย่างละเอียด พร้อมทั้งรู้แจ้งถึงธรรมที่เหมาะแก่อัธยาศัยของสัตว์เหล่านั้น ก็ต้องเป็นด้วยพระปัญญาของพระองค์เท่านั้นครับ ผู้อื่นนอกนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงมีได้ เพราะฉะนั้น พระสูตรนี้ก็แสดงถึงพระพุทธคุณอันหาประมาณมิได้ของพระองค์ผู้เป็นเลิศกว่าสรรพสัตว์ทั้งมวล จะเกิดประโยชน์มากถ้าหากจะระลึกได้ด้วยกุศลจิตและจะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น เกิดความปีติซาบซึ้งยิ่งขึ้น ถ้าผู้ที่ศึกษานั้นเข้าใจหนทางในการเจริญสติปัฏฐาน พร้อมทั้งเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานครับ
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๘๕
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศลจะกล่าวให้ถูกต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕ เพราะว่ากองอกุศลทั้งสิ้นได้แก่นิวรณ์ ๕ “ เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศลจะกล่าวให้ถูก ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐาน ๔ เพราะว่ากองกุศลทั้งสิ้นได้แก่สติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง ”ดังนั้น จากคำถามที่ว่า เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง?
ที่สามารถจะพิจารณา ได้คือเพราะธรรมะเป็นอนัตตา เลือกไม่ได้ สติปัฏฐาน 4 ครอบคลุมปรมัตถธรรม 4 และ กองกุศลทั้งหมด
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การสะสมจริตมาแตกต่างกันไป รู้ได้ด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้า (อาสยานุสยญาณ) ซึ่งแม้พระสารีบุตรเองก็ไม่ทราบการสะสมอัธยาศัยของสัตว์โลกมา ซึ่งท่านพระสารีบุตรบอกกรรมฐานคืออสุภกรรมฐานให้กับศิษย์ของท่าน แต่ไม่ถูกจริตกับศิษย์ของท่าน ซึ่งพุทธเจ้าจึงตรัสเรียกภิกษุนั้น ทรงทราบการสะสมอัธยาศัยของภิกษุนั้น จึงทรงเนรมิตดอกบัวสีทอง และก็ทำให้เหี่ยวไป ภิกษุนั้นพิจารณาและก็ได้บรรลุธรรม จะเห็นได้ว่าไม่มีใครจะรู้จริตนอกจากพระพุทธองค์ ดังนั้นจึงไม่ใช่การจะเลือกอารมณ์ แต่หมวดใดก็ละจริตเหล่านั้น เป็นจริงอย่างนั้นอยู่แล้วครับ ดังนั้นจึงต้องอบรมปัญญาขั้นการฟังจนเข้าใจขึ้นจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิดซึ่งก็แล้วแต่สติจะเกิดระลึกธรรมอะไร เป็นอนัตตา แต่ก็ไม่พ้นไปจาก 4 หมวดนี้ เกิดระลึกหมวดไหนก็ละสิ่งเหล่านั้นครับ ซึ่งจะขอนำข้อความมาเพิ่มเติมว่า ทำไมพระพุทธองค์ถึงแสดง สติปัฏฐาน ว่ามี 4 ครับ
อีกอย่างหนึ่ง ที่ตรัสว่า สติปัฏฐานมี ๔ ก็เพื่อละเสียซึ่งวิปัลลาสความสำคัญผิดว่างาม สุข เที่ยง และเป็นตัวตน. แท้จริงกายเป็นอสุภะ ไม่งาม แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสำคัญว่างาม ในกายนั้น. ด้วยทรงแสดงความไม่งามในกายนั้นแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐานข้อที่ ๑ เพื่อละวิปัลลาสนั้นเสีย.
และในเวทนาเป็นต้น ที่สัตว์ยึดถือว่าสุข เที่ยง เป็นตัวตนเวทนาก็เป็นทุกข์ จิตไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา. แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสำคัญว่าสุขเที่ยงเป็นตัวตน
ในเวทนา จิต ธรรมนั้น ด้วยทรงแสดงความเป็นทุกข์ เป็นต้น ในเวทนา จิต ธรรมนั้นแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐาน ๓ ที่เหลือเพื่อละวิปัลลาสเหล่านั้นเสีย
เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ที่ตรัสว่า สติปัฏฐาน ๔ ไม่หย่อนไม่ยิ่งก็เพื่อละความสำคัญผิดว่า งาม สุข เที่ยงและตัวตนเสีย ดังที่กล่าวมานี้ [เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้าที่ ๒๗๘ จากพระสูตรมีข้อความที่ว่า ที่ตรัสว่า สติปัฏฐานมี ๔ ก็เพื่อละเสียซึ่งวิปัลลาส ความสำคัญผิดว่างาม สุข เที่ยง และเป็นตัวตน.
เราปุถุชนทั้งหลายก็ยังมีความวิปลาส ทั้ง ๔ คือ สำคัญผิดว่างาม เที่ยง สุข เป็นตัวตน ดังนั้นการอบรมปัญญาจึงไม่เลือกหมวด แล้วแต่สติ จนสติรู้ทั่ว จึงละวิปลาสทั้ง 4 ได้ เพราะแต่ละวิปลาสก็ละด้วยหมวดแต่ละหมวดครับ
ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดหากให้ความสำคัญกับผล จะมี "ประโยชน์"มากกว่าหรือไม่.?
ไม่ว่าเหตุ จะมีที่มาอย่างไร ผล คือ "ความจริง" ใช่หรือไม่.? นอกจาก ความจริงที่ปรากฏให้รู้ได้ทาง กาย เวทนา จิต ธรรมที่พิสูจน์ได้จริงๆ ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีทางอื่นให้รู้ได้อีกหรือไม่.? ถ้าเลือกได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่เป็นไปตามเหตุปัจจัยทุกสิ่งทุกอย่างก็จะบังคับบัญชาได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ค่ะ.


