อยากจะขอความเข้าใจของอาจารย์ในเรื่องปัญญา !

 
พุทธรักษา
วันที่  13 พ.ย. 2551
หมายเลข  10369
อ่าน  883

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านผู้ฟัง อยากจะขอความเข้าใจของท่านอาจารย์ในเรื่องปัญญาปัญญา จะเป็นตัวที่รู้ถูก รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงรู้ตามความเป็นจริง ในการเกิดดับ ของสภาพธรรมเป็นตัวตัดสินว่า...สิ่งนั้นถูก สิ่งนั้นไม่ถูกสิ่งนั้นเป็นกุศล สิ่งนั้นเป็นอกุศลอย่างนี้ คือ ตัวปัญญาหรือเปล่าครับ

ท่านอาจารย์ ปัญญา เป็นความเห็นถูก ความรู้ถูก

ท่านผู้ฟัง เพราะขณะนั้น เรารู้ว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา...แต่เป็นปัญญาที่กำลังรู้ถูก

ท่านผู้ฟัง ปัญญารู้ว่าสิ่งไหนเป็นกุศล หรือไม่ใช่กุศลนี้เขายังไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม...ใช่ไหม

ท่านอาจารย์ ปัญญามีหลายระดับค่ะขั้นฟัง เป็นขั้นที่ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็น นามธรรม หรือ รูปธรรม

ท่านผู้ฟัง ขั้นที่รู้ว่าเป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล...ก็เป็นขั้นฟัง

ท่านอาจารย์ หรือขั้นคิดก็ได้...แต่ไม่ใช่ขั้นรู้ลักษณะของสภาพธรรม

ท่านผู้ฟัง โอกาส (เข้าใจ) ผิด เป็นไปได้สูงมาก...ใช่ไหมครับ

ท่านอาจารย์ ถ้ารู้แค่นี้...ไม่ใช่ขั้นรู้ "ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม" เป็นการคิดนึกของตัวเอง ไม่ใช่การรู้ตามความเป็นจริงของธรรมะถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่สามารถรู้ตรงตามความเป็นจริงได้.เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนามี ๓ ระดับ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธสิ่งที่เราพูดทั้งหมด ปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งได้ ไม่ได้เป็นโมฆะแต่ต้องอบรม จนถึงการประจักษ์อริยสัจจ์คือสภาพธรรม ที่มีจริงๆ สามารถพิสูจน์ได้

ท่านผู้ฟัง มันยากที่จะสังเกตได้

ท่านอาจารย์ ไม่ได้ให้สังเกต แต่ให้เข้าใจการฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นอย่างเดียว โดยไม่ต้องไปทำอะไรเพราะว่า "มีปัจจัย" ที่จะให้เกิดขึ้นอย่างนั้น ไม่มีใครไปทำ แม้แต่ "การคิดอย่างนั้น" ก็มีปัจจัยที่จะให้ "คิดอย่างนั้น"

ศึกษาไปเรื่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ ไม่ต้องแบกความต้องการให้หนักขึ้นไปอีกและเมื่อเข้าใจแล้ว ก็คือเข้าใจแล้วจบไม่มีเรา ที่จะต้องเข้าใจ ด้วยความเป็นเราไม่มีเราที่อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ คือ เมื่อเข้าใจถูก ก็ถูกเมื่อขณะต่อไป เป็นอกุศล ก็เป็นอกุศลนี่คือหนทางที่ละ "อภิชฌาและโทมนัส"เป็นหนทางสายกลางจริงๆ .ในอรรถกถา แสดงไว้ด้วยว่า "เห็นยากเพราะลึกซึ้ง"ไม่ใช่ว่ามรรค (ทางสายกลาง) นี้จะเป็นเรื่องง่ายๆ เลย ต้องเห็นแม้ว่าขณะนั้น มีความต้องการหรือเปล่า มีความเป็นตัวตนหรือเปล่า ธรรมะจริงๆ เป็นเรื่องรู้แล้วละจะไม่ทำอย่างอื่นเลย นอกจากพิจารณา ศึกษา และฟังสติจะเกิด...ก็เกิด...ไม่ใช่เราถ้าไม่เกิด...ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมอื่นซึ่งมีปัจจัยให้เกิด...ก็เกิดไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล ทั้งหมดไม่ใช่เราแม้ปัญญา ก็ไม่ใช่เราพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละโดยตลอด




บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 13 พ.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 14 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 14 พ.ย. 2551

ฟังเพื่อเข้าใจเข้าใจขึ้นก็รู้ขึ้นรู้ขึ้นก็จะค่อยๆ ละได้ทั้งหมดเป็นกิจของปัญญาฟังเพื่อเข้าใจ ปัญญาเกิดแล้ว ปัญญาทำกิจแล้วไม่ต้องไปทำอะไรกับปัญญาอีกไม่ต้องไปทำอะไรกับธรรมะอื่นๆ อีก

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornpaon
วันที่ 15 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ . . .

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 15 พ.ย. 2551

ปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรม ต่างกับปัญญาในภาษาไทย ปัญญาในภาษาไทยเป็นความรู้เรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ความรู้เพื่อขัดเกลาและดับอกุศล

การฟังพระธรรมเป็นการศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงให้รู้จักตัวเองทุกขณะตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 15 พ.ย. 2551

ไม่ได้ให้สังเกต แต่ให้เข้าใจการฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น...อย่างเดียว โดยไม่ต้องไปทำอะไรเพราะว่า "มีปัจจัย" ที่จะให้เกิดขึ้นอย่างนั้น ไม่มีใครไปทำ แม้แต่ "การคิดอย่างนั้น" ก็มีปัจจัยที่จะให้ "คิดอย่างนั้น"

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 2 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ