ความวิจิตรของกรรม

 
พุทธรักษา
วันที่  10 ต.ค. 2551
หมายเลข  10109
อ่าน  1,569

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการถอดเทป การบรรยายธรรมโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ณ ตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๕ โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

ถ้าพิจารณาดูรูปร่างหน้าตาของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะในครั้งเมื่อ ๒๕๐๐ ปีกว่าหรือก่อนหน้านั้น นถึงปัจจุบันนี้ มีใครหน้าตาซ้ำกับใครหรือเหมือนกับใครบ้าง นี่เป็นเพียงรูปธรรมภายนอกซึ่งเกิดเพราะ กรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นตัวกรรมจริงๆ แต่ละกรรมๆ จะวิจิตรต่างกันสักแค่ไหน เพราะว่า กรรมหนึ่งทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ มีหน้าตาอย่างนี้ในชาตินี้ (แต่ว่า) ในชาติต่อไปบุคคลนั้นนั่นเอง (ที่) กรรมอีกกรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้นมีรูปร่าง หน้าตาเป็นไปอีกอย่างหนึ่งเสียแล้ว

เพราะฉะนั้นแม้แต่รูปร่าง สัณฐานก็ยังจำแนกแตกต่างกันไปตามความวิจิตรของกรรมเพราะฉะนั้น สภาพของจิตของแต่ละบุคคล ในแต่ละขณะนั้นจะวิจิตรคือ แตกต่างกันไปตามปัจจัยแต่ละปัจจัยมากมายสักแค่ไหน ซึ่งปัญญาพร้อมสติเท่านั้นที่สามารถจะระลึกรู้สภาพที่เป็นอนัตตาแท้ๆ ของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วจึงจะดับ การยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนได้ ถ้าไม่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏตามปกติ ในขณะนี้ได้ไม่ชื่อว่าเป็นการเจริญปัญญา แน่นอนและไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ด้วย

เพราะว่า ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้แม้ในขณะนี้ ทำไมจิตจึงเป็นกุศลหรือทำไมอกุศลจิตจึงเกิดขึ้นหรือทำไมจึงมีการกระทำ ทางกาย ทางวาจา อย่างนี้ ซึ่งถ้าเป็นผู้มีปกติ อบรมเจริญสติปัฏฐานจะรู้ลักษณะของปัจจัยทั้งหลาย ตามความเป็นจริง


ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 10 ต.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 11 ต.ค. 2551

ถ้าไม่สามารถจะรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏตามปกติในขณะนี้ได้ ไม่ชื่อว่าเป็นการเจริญปัญญาแน่นอนและไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ด้วย

ขออนุโมทนาคุณปริศนาค่ะ

ขอเรียนถามท่านอาจารย์วิทยากรว่าตามประโยคที่ว่า

ซึ่งถ้าเป็นผู้มีปกติ อบรมเจริญ สติปัฏฐานจะรู้ลักษณะของปัจจัยทั้งหลาย ตามความเป็นจริง

ไม่ทราบว่าผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฎฐานจะรู้ลักษณะของปัจจัยทั้งหลายตามความเป็นจริงต้องเป็นปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณที่สองหรือไม่ค่ะ ซึ่งหมายถึง ปัจจยปริคคหญาณ

ขอขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 11 ต.ค. 2551

ในสังสารวัฏวิปัสสนาญาณที่ 1 ยังเกิดยากเลย ส่วนมากไม่เคยเกิด วิปัสสนาญาณ แต่ละขั้นต้องอบรมเจริญยาวนานมากกว่าจะเกิด วิปัสสนาญาณที่สองเป็นปัญญา ที่รู้ความเป็นปัจจัยของนามธรรมรูปธรรม และต้องอบรมไปอีกนานมากกว่าจะถึงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 11 ต.ค. 2551

wannee.s

ความคิดเห็นที่ 3

ในสังสารวัฏวิปัสสนาญาณที่ 1 ยังเกิดยากเลย ส่วนมากไม่เคยเกิด วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นต้องอบรมเจริญยาวนานมากกว่าจะเกิด วิปัสสนาญาณที่สองเป็นปัญญาที่รู้ความเป็นปัจจัยของนามธรรมรูปธรรมและต้องอบรมไปอีกนานมากกว่าจะถึงค่ะ

ไม่รอ ไม่หวังผล ครับ อบรมแต่เหตุ "ผลย่อมเกิดแต่เหตุ"

ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ajarnkruo
วันที่ 12 ต.ค. 2551

ขอแสดงความเห็นส่วนตัวดังนี้ครับ

"ผู้มีปกติ อบรมเจริญ สติปัฏฐาน"

ถ้าไม่กล่าวถึงพระอริยบุคคล เพราะวิปัสสนาญาณของท่านต้องเกิดครบแน่นอนแต่มาแยกกันที่ วิปัสสนาญาณของกัลยาณปุถุชนว่าเกิดหรือไม่เกิดตามปกติ ก็คือการศึกษาสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้เหมือนๆ กันเพียงแต่ต่างกันตรงที่กำลังและความละเอียดของปัญญาปกติของผู้อบรมเจริญสติปัฏฐานที่วิปัสสนาญาณยังไม่เกิดอาจจะมีการรู้รูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง แต่ยังไม่ชัด และยังไม่ทั่ว เหตุนี้ การที่จะรู้ความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมจึงยังไม่ใช่เพราะการได้ประจักษ์แล้ว แน่นอนแต่เพียงเริ่มจากความเข้าใจที่มาจากการคิดพิจารณา "เรื่องของปัจจัย" ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาจากพระธรรมของพระผู้มีพระภาค

ยกตัวอย่างเช่น กัมมปัจจัย
ศึกษาเพื่อให้เห็นความเป็นปัจจัยของกรรม กรรมในที่นี้ ได้แก่เจตนาเจตสิก สภาพธรรมที่จงใจ ขวนขวายยังกิจต่างๆ ให้สำเร็จเพื่อให้เกิดความเข้าใจขึ้นว่า ไม่มีใครกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดขึ้นแต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไปตามกรรม ไม่พ้นจากกรรมได้เลยสักขณะจิตเดียวเพราะเหตุว่า เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกๆ ดวง

อีกตัวอย่างเช่น เหตุปัจจัย
ศึกษาเพื่อให้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยของสภาพธรรมะที่เกิดทั้งทางฝ่ายกุศลหรืออกุศลกุศลจิตเกิด ต้องมีเหตุ อกุศลจิตเกิดก็ต้องมีเหตุเมื่อรู้เหตุแล้วก็จะทำให้เข้าใจความจริงมากขึ้น คลายความยึดติดว่า เราเป็นเหตุคลายความยึดถือว่าบุคคลใด บุคคลหนึ่งเป็นผู้สร้างเหตุศึกษาเพื่อเป็นปัจจัยให้สังขารขันธ์ปรุงแต่ง ให้สติเกิดระลึกได้ว่า ธรรมะทั้งหลายไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนกุศลธรรมเกิดไม่ใช่ด้วยใครสร้าง อกุศลธรรมเกิดก็ไม่ใช่ด้วยใครสร้างแต่ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนสร้างแล้วมาจากเหตุทั้งสิ้น

ขออนุโมทนาครับในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปริศนา
วันที่ 12 ต.ค. 2551

ความเห็นที่ ๕ โดย อาจารย์ครูโอ.

เมื่อรู้เหตุแล้วก็จะทำให้เข้าใจความจริงมากขึ้น กุศลธรรมเกิดไม่ใช่ด้วยใครสร้าง อกุศลธรรมเกิดก็ไม่ใช่ด้วยใครสร้างแต่ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนสร้างแล้วมาจากเหตุทั้งสิ้น

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornpaon
วันที่ 12 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Noparat
วันที่ 13 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
opanayigo
วันที่ 13 ต.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เซจาน้อย
วันที่ 13 ต.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pornpaon
วันที่ 14 ต.ค. 2551

จิตวิจิตร

กรรมย่อมวิจิตร

ทำเหตุอย่างไร ได้ผลอย่างนั้น

สะสมเหตุมาหลากหลาย

การให้ผลย่อมวิจิตรตามไปด้วย

กุศลจิตเกิดดับสลับกับอกุศลอย่างรวดเร็ว

แต่ละขณะ สะสมสื่งใดไว้มากกว่ากัน

ไม่มีทางรู้เลย

ว่าเหตุใด จะให้ผลก่อน

เพื่อมาเป็น สัตว์ บุคคล หรืออัตภาพอย่างใด

อยู่ในภพภูมิไหนของแต่ละภพชาติ

ประกอบด้วยปัญญา

หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา

ที่แน่นอน คือ ย่อมไม่พ้นไปจากเหตุที่ได้สะสมไว้แล้ว

ขออนุโมทนาคุณปริศนา

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Komsan
วันที่ 14 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ