ถ้าถูก ต้องรู้สภาพธรรมในขณะนี้


    ประทีป   เรียนถามท่านอาจารย์ครับ เมื่อกี้นี้คุณสุกิจสงสัยเรื่องบัญญัติ ซึ่งอาจารย์ก็บรรยายว่า ในขณะใดก็ตามที่ไม่ได้รู้สิ่งที่เป็นปรมัตถธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน นอกนั้นก็เป็นบัญญัติทั้งหมด ทีนี้บัญญัติก็เป็นเรื่องเป็นราว เป็นอะไรต่ออะไร ภูเขา แม่น้ำ ไฟฟ้าอะไร พอรู้เรื่อง ที่นี้ลักษณะของที่เป็นปรมัตถธรรม อาจารย์ช่วยอธิบายต่อได้ไหมครับว่า ปรมัตถธรรม เราจะรู้ได้อย่างไรครับ

    ส.   ก็มีจริงๆ อย่างเห็น อย่างนี้ ทุกคนก็กำลังเห็น ไม่ใช่ว่า เห็นไม่มี เพราะฉะนั้น เห็นมี แต่เห็นไม่ใช่รูป เห็นเป็นสภาพที่รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นอย่างนี้  คือรู้แจ้งในอารมณ์ที่ปรากฏ สามารถที่จะบอกได้ว่ามีอะไรกำลังปรากฏในขณะนี้  นั่นคือลักษณะของจิต

    ประทีป คือผมพยายามทำความเข้าใจว่า ในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรสได้กระทบสัมผัส หรือคิดนึก ในขณะใดที่เป็นปรมัตถธรรม เพราะว่าเห็นทีไรก็เป็นถ้วยกาแฟ ถ้วยน้ำ อะไร อยู่อย่างนี้  ที่เห็นเป็นถ้วยกาแฟนี้ ก็ไม่ใช่เห็นปรมัตถใช่ไหมครับ

    .   เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ประทีป เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เห็นทีไรก็เป็นถ้วยกาแฟ

    ส.   จะเป็นอะไรก็ตามแต่ แต่ถ้าพูดถึงเห็น เห็นอะไร ก็ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ อย่างแข็ง เห็นได้ไหมคะ

    ประทีป ไม่ได้ครับ

    ส.   ค่ะ เพราะว่าแข็งไม่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้

    ประทีป เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้ปรมัตถธรรมที่ปรากฏจะต้องมี มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้เราได้ระลึกศึกษาสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วถ้าหากว่าเห็นเป็นอะไร เป็นเรื่อง เป็นราว เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นโน้นเป็นนี่ เป็นนายนั่น นายนี่ นางนั่น ขณะนั้นก็ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ก็เข้าใจยาก 

    ส.   ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของจิต เจตสิก รูป นอกเหนือจากนั้นก็คือบัญญัติ ปรมัตถธรรม มี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน แต่ขณะนี้ไม่มีทางที่จะไปรู้นิพพานได้

    ประทีป ถ้าเป็นบัญญัติเดี๋ยวนี้เราก็สามารถรู้ได้ว่า ขณะใดเป็นบัญญัติ

    ส.   ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์  ขณะนั้นมีบัญญัติ ค่อยๆ เข้าใจไป แต่ไม่ใช่ว่าเข้าใจปุ๊บ รู้ปั๊บได้เลย

    ผู้ฟัง ฝากถามว่า ขณะที่เรานึกถึงโลภเจตสิก ก็สัมปยุตต์เจตสิก อะไรพวกนี้ ขณะนั้นเป็นบัญญัติหรือเปล่าที่เรานึก นึกถึงขณะ ตัวที่เรามีปริยัติมา

    ส.   นึกถึงชื่อ

    ผู้ฟัง นึกถึงชื่อ  อันนั้นไม่ใช่บัญญัติหรือคะ

    ส.   อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่ใช่ชื่อ

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์พูดแบบนี้ ทำไมไม่เข้าใจอยู่นิดหนึ่งว่า คนเวลาเขาเรียนแล้ว ชื่อนั้นชื่อนี้ก็จริง เวลาปฏิบัติให้วางไว้ก่อน ตามที่เราเรียนเอาวางไว้ แล้วเราค่อยปฏิบัติ แล้วมันถึงจะได้อารมณ์  ตรงนี้ทุกคนในที่นี้ยังติดอยู่ตรงนี้ ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย

    ส.   คือสิ่งที่ผิดดั้งเดิมมา เราผิดมานาน คือว่าเราสอนให้ปฏิบัติ อันนี้ผิดแน่นอน  เพราะเหตุว่าในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องการอบรมเจริญ ถ้าเป็นวิปัสสนาภาวนาคืออบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ต้องเป็นการอบรมจากการฟังเข้าใจ ถ้าไม่มีการฟังเข้าใจ ไม่มีทางที่สัมมาสติจะเกิด ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เรากำลังพูดถึง คือ จิต เจตสิก รูป

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของการอบรมความรู้ความเข้าใจ แต่ว่าสิ่งที่ผิดกันมานานผิดกันมาตั้งแต่ต้น คือสอนให้ปฏิบัติ แล้วยังไง  จะปฏิบัติอย่างไร นั่งอยู่อย่างนี้จะปฏิบัติอย่างไร ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไร แล้วจะปฏิบัติอย่างไร ถ้าสอนให้เดิน ก็เดิน แล้วรู้อะไร

    ผู้ฟัง ไม่อยากพูดคำว่าเป็นสายแล้ว  เพราะว่าทุกคนก็พูดว่าเป็นสาย แต่มันไปแน่ว ทุกสาย ทุกสายก็ไปลงปฏิบัติกันหมดเลย ก็เลยว่า  เรานี้ บางครั้งมันก็ชักเคลิ้มๆ เหมือนกัน คล้ายว่าความอยากจริงๆ อันนี้พูดจริงๆ เวลามันก็น้อยแล้ว อะไรอย่างนี้ เขาพูดๆ เข้าหู มันชักเริ่มเอียงแล้ว ละ

    ส.   ก็แบบของจริงกับของปลอม

    ผู้ฟัง   แล้วเมื่อไร จริงๆ แล้วคือปฏิบัติ ตรงนี้

    .   อบรมความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าชีวิตดำรงอยู่ชั่วขณะจิต ขณะเดียวเท่านั้น  จิตเกิดขณะหนึ่งแล้วก็ดับ แต่ว่าตัวจิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยชนิดหนึ่ง คือทันทีที่ดับก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด สืบเนื่องไม่มีขาดสายเลย ปัจจัยนี้ชื่อ อันตรปัจจัย คือ ไม่มีเว้น ไม่มีขาดเลย ทันที่ที่จิตดวงหนึ่งดับไป ก็เป็นอนัตรปัจจัยให้จิตต่อไปเกิด ย้อนถอยไปถึงตอนเกิด ทุกขณะ จากขณะนี้ถอยไปๆๆ ก็คือขณะเดียวที่เกิดเป็นปัจจัยให้แต่ละขณะสืบต่อมาจนกระทั้งถึงเดี๋ยวนี้  แล้วขณะที่เกิดชาตินี้ก็ถอยไปอีก ก็สืบต่อไปถึงแต่ละชาติ แต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้น จิตก็เกิดขึ้นทำกิจการงานอย่างนี้แหละมานานแสนนาน แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา แล้วเราจะทำอะไรเพื่ออะไร จะทำอะไรเพื่ออะไร เพื่อความไม่รู้แน่นอน เพราะเหตุว่าไม่เคยฟัง ไม่เคยรู้เรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงปัญญาที่จะประจักษ์แจ้ง ซึ่งเป็นผลของการอบรมที่ยาวนาน ที่ในพระไตรปิฏก ใช้คำว่า จิรกาลภาวนา จีร ก็ยาวนาน กาล แปลเป็นเวลา ภาวนา ก็คืออบรม กว่าจะถึงอย่างนั้น เราก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าขณะนี้เราไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เข้าใจ แล้วเราก็หวัง หวัง หวังว่าจะไปปฏิบัติ แล้วก็จะได้อะไรขึ้นมา เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหม แต่ถ้าเราเข้าใจว่า ปัญญาทั้งหมดจะเริ่มต้นจากการฟัง จะอ่าน หรือจะสนทนาธรรม หรือจะอะไรก็แล้วแต่ ให้เข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็ยังไม่มาถึง เย็นนี้ก็ยังไม่มาถึง ขณะนี้อะไรจริง สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งผู้ที่ตรัสรู้แล้ว ก็สามารถที่จะประจักษ์ว่า สั้นมาก เพียงปรากฏเมื่อเห็น ขณะที่ได้ยิน สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ปรากฏแล้ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้ความจริงอย่างนั้นได้ เราก็ต้องฟังนาน พอที่จะรู้ว่าปัญญาของเราถึงระดับไหน โดยไม่ใช่ตัวเราจะไปทำ ถ้าเป็นตัวเราจะไปทำ จะตรงกันข้ามคำสอนของพระพุทธเจ้าหมดเลย ท่านสอนว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราก็เป็นอัตตา จะทำ เพราะฉะนั้น ตรงไหมคะ ก็ไม่ตรง เพราะฉะนั้น ถ้าเราเคยฟัง เราอาจจะใช้สาย หรืออะไรก็ได้ แล้วไม่เกิดปัญญา แล้วก็ไม่ใช่ของจริง เพราะเหตุว่าไม่สามารถจะรู้สภาพธรรมในขณะนี้ได้เลย แน่นอน แล้วเรายังจะทำไหม ในเมื่อถ้าไม่รู้ ต้องไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน

    ธรรมเป็นเรื่องตรง แล้วก็เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกมี แล้วก็สิ่งที่ผิดมี สิ่งที่ผิดจะมาคละเคล้ากับสิ่งที่ถูกไม่ได้ แล้วสิ่งที่ถูกคือ ต้องพิจารณาจนกระทั่งกระจ่างชัดว่า เป็นสิ่งที่ถูก หมดความเคลือบแคลงสงสัย จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกที่แท้จริง แล้วทุกคนก็คงอยากจะต้องการสิ่งที่ถูกต้อง เราถึงได้มีการศึกษาธรรม  แต่การศึกษาธรรม ถ้าเรายังไม่ได้พิจารณาละเอียดจริงๆ เราก็อาจจะมีความผิดบ้าง ถูกบ้าง เป็นของธรรมดา  แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่มั่นคง จริงใจต่อสัจธรรม เราก็ต้องพิจารณาว่า สิ่งใดถูกคือถูก สิ่งใดผิดคือผิด ซึ่งเรากล้า หรืออาจหาญพอที่จะยอมรับว่าสิ่งที่ผิดคือผิด แล้วสิ่งที่ถูกคือถูกหรือเปล่า 

    นี่คือประโยชน์ของการที่จะศึกษาธรรม แต่ถ้าเราศึกษาธรรมเพื่อเหตุอื่น คือไม่ใช่เพื่อความเข้าใจที่แท้จริงในเรื่องสัจธรรม เราก็ยังคงได้ผลเหมือนเดิม คือมีผิดกับมีถูก คละเคล้ากันไป

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ควรที่จะได้ทราบว่า ทุกคนที่ศึกษาธรรมร่วมกัน เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ร่วมกันจริงๆ คือเพื่อความถูกต้องของพระธรรมวินัยของสภาพธรรม กับสิ่งที่เราจะได้รับด้วย เพราะเราคงไม่อยากจะได้สิ่งที่ผิดๆ ถูกๆ


    หมายเลข 9908
    16 ก.ย. 2558