ความคิดทุกขณะเป็นธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ แต่จริงๆ แล้ว วันหนึ่งๆ สภาพคิดนึก หรือว่าเราคิดนึกเป็นเรื่องราวมันจะทอดยาวออกไป และไม่สามารถที่จะกลับมาว่า เป็นเสียงที่ระลึกได้ทางหู อย่างนี้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว อันนี้สำคัญที่สุด เพราะว่าหมดแล้วจริงๆ ไม่เหลือสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ใช้คำว่า “ค่อยๆ เข้าใจ” ถ้ากำลังค่อยๆ เข้าใจลักษณะ ขณะนั้นก็ไม่ต้องกังวลกับคำว่าสติปัฏฐาน เพราะถ้าสติไม่ระลึกที่ลักษณะนั้น จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะนั้นไม่ได้

    ผู้ฟัง พูดถึงสิ่งที่หมดไปแล้ว หรือล่วงไปแล้ว ที่ตอบท่านอาจารย์ว่าไม่มี คือตอบด้วยความเข้าใจขั้นเข้าใจแค่นั้นเอง จริงๆ ลึกๆ มันไม่มีจริงหรือ ในเมื่อยังปรากฏอยู่

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่เมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งเมื่อวานนี้มีจริงๆ หรือ หรือว่าหมดไปแล้ว

    ผู้ฟัง ก็หมดไป แต่ก็ยังอยู่ในความทรงจำ หรือความคิดนึกของเราอยู่

    ท่านอาจารย์ นี่คืออัตสัญญา ความทรงจำยังมีเราอยู่ตลอด จนกว่าจะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา คุณสุกัญญาอยากจะรู้ชื่อ หรือว่ารู้ว่าลักษณะนั้นมีจริงๆ เกิดแล้วหมดไป จะได้ไม่ไปต้องพะวงถึงอีกว่าจะชื่ออะไร กุศลหรือเปล่า กุศลเล็กๆ กุศลน้อยๆ เราไม่รู้หรือว่าอะไร ไม่ต้องคำนึงถึงเลย เพราะเหตุว่า แม้การที่คุณสุกัญญาจะคิดอย่างนั้นว่า พรุ่งนี้จะอยู่หรือเปล่า ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ความคิดทุกขณะหรือสภาพธรรมทั้งหมดเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น บังคับความคิดไม่ได้เลย แต่ว่าที่จะรู้จริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา ก็ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะเกิดตามปกติ ไม่ตื่นเต้น ธรรมดา และก็รู้ด้วยว่าขณะนั้นต่างกับขณะที่ไม่ได้ใส่ใจในลักษณะของสภาพธรรม ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ใช่ว่าวันนี้จะให้คุณสุกัญญารู้ว่า ที่กำลังคิดนี้ไม่ใช่คุณสุกัญญาเลย ที่กำลังโกรธนี่่ก็ไม่ใช่คุณสุกัญญาเลย ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้จริงได้เมื่อไร เราก็เห็นใช่ไหมว่า ต้องมีการอบรม อบรมอะไร ไปอบรมทำโน่นทำนี่ หรือว่าอบรมความเข้าใจถูก ปัญญาเป็นความสามารถรู้ถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น แต่ฟัง แล้วก็มีความเข้าใจ แล้วก็รู้ว่าขณะที่สติเกิดต่างกับขณะที่หลงลืมสติ ในเมื่อไม่ใช่คุณสุกัญญาเลยทั้งหมด ไม่ใช่คนโน้นคนนี้ทั้งหมด ก็เป็นธรรมที่เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การฟัง เราฟัง และเราก็รู้ว่า ธรรมทั้งหมดกำลังอยู่ที่ตัวหมดเลย ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่ไม่ได้รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมแต่ละอย่าง
    เพราะฉะนั้น ก็เริ่มที่จะเห็นความจริงว่า ขาดการฟังไม่ได้ เพราะว่าเราได้ยินเรื่องอะไร เราก็คิดถึงเรื่องนั้น เมื่อเช้านี้ตลอดตั้งแต่ตื่นมา เรื่องทั้งนั้นเลย ที่เราคิดเพราะว่าเราได้ยิน เพราะว่าเราเห็น สำหรับธรรมนี่เราฟังน้อย เพราะฉะนั้น การคิดถึงเรื่องธรรมของเราจะมากเท่ากับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย แต่ก็ทราบค่ะ ว่าธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา แล้วมีลักษณะด้วย อย่างคิดมองไม่เห็นเลย ขณะใดที่คิดก็เป็นสภาพธรรมแล้วอย่างหนึ่งที่คิดเรื่องนั้น จนกว่าจะชินทั้งหมดเลย นี่แสดงให้เห็นว่า ต้องอบรมนานมาก เป็นจิรกาลภาวนา แต่เราไม่ไขว้เขวที่จะไม่รู้ เราไม่ไขว้เขวที่จะไปคิดว่า ปัญญารู้อย่างอื่น ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือสัจญาณ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 165


    หมายเลข 9866
    26 ม.ค. 2567