กรรมพันธุ์ - เป็นกรรมที่มาสัมพันธ์กันหรือเปล่า


    ผู้ฟัง จะขอกราบเรียนถามอาจารย์นิดหนึ่งค่ะ อย่างในกรณีอย่างนี้ ถ้าคุณแม่ของเราเจ็บป่วย แล้วเรารู้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมเฉพาะบุคคล แต่การเจ็บป่วยของคุณแม่ก็มีผลกระทบกับคนในครอบครัว ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นกับคนในครอบครัว มันเปรียบเสมือนเป็นกรรมที่มาสัมพันธ์กันหรือเปล่า แล้วเราจะทำอย่างไรให้รู้สึกว่า กรรมเหล่านั้นเบาบางลง หรือความทุกข์เหล่านั้นของคนในครอบครัวลดลงในลักษณะนี้

    ส. โดยมากมักจะอยากใช้คำที่เราเคยชิน เช่น สัมพันธ์ กรรมสัมพันธ์ แต่ถ้าพิจารณาถึงจิต เจตสิก รูปให้ละเอียด ขณะนั้นที่กำลังเห็น แต่ละคนก็เกิดเห็น แลกเปลี่ยนหรือร่วมกันไม่ได้ เห็นของคนอื่นจะมาสัมพันธ์กับเห็นของเราได้ไหมคะ ต่างคนต่างเห็น ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างคิด

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจในสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งเกิดดับเร็วมาก แล้วก็มีปัญญาที่จะรู้ความจริงแม้แต่เพียงความจริงที่เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้เรารู้ว่า อะไรเป็นอะไร รู้ว่าถ้าตราบใดที่ปัญญาของเราไม่ถึงระดับที่จะระงับความโศกเศร้า มีปัจจัยที่จะให้โศก ก็โศกเกิด มีปัจจัยที่จะให้โกรธ โกรธเกิด ทำอะไรได้ เพราะเหตุว่าธรรมอาจจะได้ยินคำว่า สังขารธรรม สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็สภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสังขารธรรม คือ วิสังขารธรรม สภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง การเรียนธรรมจะค่อยๆ ขยายออกได้ แล้วก็มีศัพท์ มีคำเพิ่มขึ้นที่จะทำให้สามารถเข้าใจความต่างของแม้ศัพท์ว่า สังขารธรรม และสังขตธรรม

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตาม มีลูก ๕ คน เห็นคุณแม่กำลังป่วยไข้ จิตที่เห็นของลูกแต่ละคนก็เกิดขึ้นเป็นสังขตธรรม ปรุงแต่งแล้ว เกิดขึ้นเห็นชั่วขณะแล้วก็ดับ ทุกอย่างที่เกิด ปรุงแต่งแล้วเกิดทั้งนั้นเลย เป็นสังขตธรรม ๕ คนนี้ ๕ ใจหรือเปล่าที่จะคิด แล้วแต่ว่าจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย ก็เป็นเรื่องของขณะที่เห็นแล้ว เกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิต

    เพราะฉะนั้น กุศลจิตหรืออกุศลจิตไม่ใช่วิบากจิต ต้องเป็นคนละขณะ วิบากจิตเกิดขึ้นเพราะกรรมแล้วดับ แต่ว่ากุศลหรืออกุศลเกิดขึ้นเพราะการสะสมจากขณะที่กำลังเป็นกุศล แม้ดับไปแล้วก็สะสมลืบต่อ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละขณะแล้วสืบต่อกัน เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีในขณะหนึ่งก็สืบต่อไปอีก สู่ขณะต่อๆ ไป

    เพราะฉะนั้น ต่างคนก็ต่างเห็น อย่าไปใช้คำว่า “สัมพันธ์” ได้ไหมคะ หรือชอบใช้เพราะว่าเคยใช้ คุ้นเคยแต่จะใช้ แต่ถ้าใช้แล้ว ไม่ทำให้มีความเข้าใจปรมัตถธรรมยิ่งขึ้นก็ไม่ใช้ เพราะว่าคำใดๆ ก็ตามที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมขึ้น คำนั้นควรใช้ เช่นทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง มีโลกอีกความหมายหนึ่งแล้ว ใช่ไหมคะ โลกทางตาเห็น โลกทางหูได้ยิน โลกทางจมูกได้กลิ่น โลกทางลิ้นลิ้มรส โลกทางกายก็รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส โลกทางใจก็คิดนึก ๖ โลก เป็นโลกส่วนตัวแต่ละคน แต่ละคน แต่ละคน แตกดับทุกโลก จะให้อะไรคุณแม่ดีคะ มีท่านผู้หนึ่งท่านก็เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการเผยแพร่พระธรรม เพราะว่าตัวท่านฟังพระธรรมมานานมาก แล้วก็เห็นคุณของพระธรรม ท่านก็บริจาคเงินให้มูลนิธิ แล้วก็มีอีกท่านหนึ่งไม่ใช่ท่านนี้ ท่านก็ปรึกษาว่า ท่านจะบริจาคอะไรดี ดิฉันก็เรียนท่านว่าแล้วแต่ท่านเห็นสมควร ถ้าเห็นประโยชน์ของการศึกษา ท่านก็บริจาคเพื่อการศึกษา ถ้าเห็นประโยชน์ของการรักษาพยาบาล ท่านก็บริจาคให้โรงพยาบาล คือแล้วแต่ประโยชน์ที่ท่านคิดว่าเหมาะสม แต่สำหรับอีกท่าน ท่านบอกว่าท่านทำมาหมดแล้วทุกอย่าง โรงพยาบาลก็ให้ โรงเรียนก็ให้ อาหารกลางวันเด็กก็ให้ คนชรา คนพิการก็ให้ แต่ว่าอย่างโรงพยาบาล หายแล้วออกจากโรงพยาบาลไปก็เหมือนเดิม แต่สิ่งที่จะให้ที่มีค่าที่สุดคือ ความเข้าใจพระธรรม เพราะจะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพจิตจากความไม่รู้สู่ความรู้ จากความไม่ได้เกิดกุศลเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าทุกข์เป็นของประจำโลก เกิดมาแล้วที่จะไม่ทุกข์ไม่มี เพราะว่าทุกข์แท้ๆ ทุกข์จริงๆ ก็คือ สภาพธรรมที่ไม่มีใครสามารถจะหยุดยั้งว่า สิ่งที่เกิดแล้วอย่าดับ เป็นไปไม่ได้เลย ทุกอย่างเพียงเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วทำหน้าที่เฉพาะอย่างๆ แล้วดับ เช่น จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับ ไม่มีอีกเลย จิตได้ยินแต่ละคำ แต่ละเสียง เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ ไม่มีอีกเลย แต่ละอย่างก็เป็นทุกข์ในตัวของสภาพธรรมนั้น คือ เกิดแล้วดับ ไม่คงทน แล้วไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงให้สภาพนั้นเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้

    เพราะฉะนั้น ทุกข์จริงๆ ก็คือสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ถ้าเข้าใจโลกในลักษณะนี้ เราจะช่วยอย่างไรที่จะไม่ให้มีการเกิดแล้วก็ดับ ช่วยไม่ได้ เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ก็แสดงว่าทุกข์เพิ่มจากการเพียงเกิดแล้วดับ แต่ว่ามีกายปสาทของสัตว์โลกซึ่งเกิดเพราะกรรมซึมซาบอยู่ทั่วตัว ที่จะทำให้เกิดทุกข์เวทนาเมื่อเวลาที่เป็นผลของอกุศลกรรม เราก็ช่วยแก้ไขได้เพียงเท่านั้น คือ ให้ยารักษาโรค แล้วก็รักษาพยาบาล แต่ใจของเขาที่ยังคงมีกิเลสอยู่ ก็เป็นเหตุให้กระทำกรรมที่เป็นทุจริต แล้วจะต้องได้ผลทาง หนึ่งทางใด คือ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ ไม่ดี เราแก้ไขปลายเหตุ แต่ต้นเหตุที่จะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เกิดกับเขา

    นี่เป็นสิ่งซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเห็นว่า จะแก้โลกโดยเพียงแก้ปลายเหตุ หรือช่วยเท่านั้นไม่พอ แต่ว่าสามารถที่จะให้ปัญญาเขาเกิดขึ้น เป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น แล้วก็จะทำให้เขาพ้นจากทุกข์จริงๆ ได้


    หมายเลข 9761
    25 ก.ย. 2566