ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่---ล้วนว่างเปล่า


    ผู้ฟัง ถ้าเผื่อเราคิดว่าเรามีโลภะ ความอยากมากๆ มันจะช่วยเป็น แรงผลักดันให้เราไม่ทอดทิ้ง จะทำให้เรามีมุมานะอย่างนั้นจะได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นทางโลก ความคิดของคุณเด่นพงศ์ก็สามารถจะทำให้ สำเร็จได้ในทางโลก เพราะเหตุว่าโลภะเป็นเครื่องกระตุ้นที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ประสงค์ ได้ ไม่สิ้นสุด แต่ว่าสำหรับทางธรรม การที่จะรู้นี่ต้องรู้ว่าเป็นการละความไม่รู้ๆ ในอะไร ไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ได้ฟังธรรมเลยจะไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร ถ้า สนทนาธรรมก็จะถามว่าขณะนี้อะไรจริง ก็หาได้เลยว่าแท้ที่จริงก็คือขณะนี้แหล่ะที่จริง และขณะที่จริงรู้หรือเปล่าว่าคืออะไร เขาก็ไม่สามารถที่จะบอกได้อีกว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ คืออ ะไร นั่นคือเรื่องของอวิชชาความไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าเข้าใจวิชาการทางโลก ก็ไม่ได้ทำให้พ้นจากโลภะ โทสะ โมหะ พ้นจากความยินดียินร้าย พ้นจากความทุกข์ ต่างๆ นาๆ ซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้น แต่ถ้าเราสามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็น จริงว่าไม่มีใครบังคับสิ่งนี้เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย และสิ่งที่มีเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เรายังไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็หลงยึดถือไปตลอดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน ชีวิตว่าเป็นเราโดยไม่รู้ความจริงว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่คิด ถึงว่าเราอยากจะรู้หมด หรือว่ารู้มาก หรือว่ารู้เร็ว หรือว่ารู้ความต่างกันของฉันทะ รู้ความ ต่างกันของโลภะ ถ้าเราไม่คิดอย่างนี้เลย คือเพียงแต่เหมือนกับผู้ที่ฟังด้วยความเข้าใจ จริงๆ ฟังเพื่อความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่ไม่ได้ยินได้ฟังมาก่อนเท่านั้น เพราะว่าถ้าไม่มี ความรู้ขั้นต้นการที่เราจะรู้สิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ที่กำลังปรากฏจะเจริญไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราไม่ไปเอาความเจริญทางอื่น ไม่ได้มีความเป็นตัวตนที่อยากจะรู้ โลภะ บ้าง ฉันทะบ้าง สันโดษบ้าง แต่ว่าแม้สิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังจนกว่าจะค่อยๆ คลายขึ้น ก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา มิฉะนั้นถ้ามีความเป็นเราที่ต้องการแล้วไม่สมหวังเป็น ทุกข์ แล้วก็จะห่างเหินไปจากความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จริงๆ แล้วสิ่งที่กำลัง ปรากฏเป็นสิ่งที่รู้ยาก แม้กำลังปรากฏก็ปรากฏกับอวิชชา และโลภะ ไม่ได้ปรากฏกับสติ และปัญญา

    เพราะฉะนั้นเวลาที่เราไปทางโลก เราก็จะมีความก้าวหน้าในเรื่องการงาน ในเรื่องอะไรทุกอย่าง แต่พอมาถึงทางธรรมก็เป็นผู้ที่ตรง ปัญญาทั้งหลายแหล่ะที่สูงจน กระทั่งสามารถจะดับกิเลสต้องมาจากขั้นเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องขึ้น เราจะต้อง รู้ว่าผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลมี ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลต้องสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกใน สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่กว่าท่านจะเข้าใจได้ ท่านต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ใน แต่ละชาติ ชาตินี้ ถ้าเราได้มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้จะช้า แม้จะน้อย แต่ก็จะ ทำให้เราเข้าใจสิ่งนี้เพิ่มขึ้นอีกในชาติต่อๆ ไปเป็นการสะสม แต่ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งที่ กำลังปรากฏในชาตินี้ ต่อไปยังไงๆ ก็ไม่มีการที่จะเข้าใจขึ้นได้ และวิชาการทั้งหมดจะ ช่วยให้เราพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายในสังสารวัฏฏ์ไม่ได้เลย แม้จะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขก็หมดได้ภายในพริบตาเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้นอะไรจะเป็นที่พึ่งที่แท้ จริง สิ่งไหนมีค่าที่สุดในชีวิต สมบัติ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือว่าความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย สำหรับผู้ ที่ประจักษ์ความจริงก็จะทราบว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เห็นการเกิดขึ้นจากไม่มีแล้วมี แล้วก็หามีไม่ ไม่ใช่ระยะยาวเลย ทุกขณะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็จะทำให้คลายการ ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ซึ่งจะทำให้คลายทุกข์ทั้งหมด และจะทำให้คลายความ ต้องการด้วย ข้อสำคัญที่สุดเวลานี้มีความต้องการมาก แต่ไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่จะต้องละ แต่เป็นสิ่งที่กลับอยากจะไปรู้

    ผู้ฟัง แสดงว่าผมอยากมากไปใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 147


    หมายเลข 9647
    26 ม.ค. 2567