วิดน้ำออกจากเรือ


    ฟังธรรมแล้วต้องคิดว่า จริงหรือเปล่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังรู้ และสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้ ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้นพร้อมกับรูปธรรม ทั้งหมดอยู่ที่ตัวหรือเปล่า สิ่งที่ไม่รู้อะไรมีที่ตัวหรือเปล่า นี่คืออัตภาพที่เปรียบดุจเรือ ไม่ต้องไปหาเรือที่ไหนเลย เรือคืออัตภาพ ขณะนี้ที่เคยเป็นเรา แท้ที่จริงก็คือต้องมีธาตุรู้แน่นอน และต้องมีธาตุที่ไม่สามารถรู้อะไรได้ ซึ่งถ้าจะกล่าวเป็นคำภาษาบาลี สภาพรู้ ธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ก็ใช้คำว่า นามธาตุ และสภาพที่มีจริง เกิดมีจริงๆ เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น แต่เพราะไม่รู้อะไร จึงเป็นรูปธาตุ จริงหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ที่ตัวมีทั้งนามธาตุ และรูปธาตุ แต่เมื่อรวมกันก็ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นอัตธาตุ สิ่งที่มีจริงที่เข้าใจว่าเป็นเรา

    แต่มีข้อความที่ว่า “วิดน้ำออกจากเรือ” ถ้าเข้าใจธรรม ไม่ว่าจะพบข้อความใดในพระไตรปิฎกก็สามารถเข้าใจได้ และมีข้อความที่แสดงว่า น้ำเป็นกิเลส อยู่ที่ไหนคะ ถ้าไม่อยู่ที่อัตภาพ ก็อยู่ที่นี่แหละ จะไปหากิเลสไปกองอยู่ที่อื่นก็ไม่ใช่ แต่ไม่ว่าจะพูดถึงโลภะ ที่นี่ที่ตัวก็มีโลภะ จะพูดถึงโทสะ ที่ตัวก็มีโทสะ จะพูดถึงโมหะ ก็ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย นอกจากที่อัตภาพนี้แหละ

    เพราะฉะนั้น อัตภาพเปรียบเหมือนเรือซึ่งมีน้ำมาก หนักมาก คือกิเลส ถ้ายังไม่ค่อยๆ เอาน้ำออกไป มีไหมคะที่จะไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ โดยไม่จมลงในมหาสมุทร เพราะฉะนั้น การที่ทรงอุปมาโดยนัยหลากหลาย โวหารเทศนา ก็ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อัตภาพ เวลานี้มองไม่เห็นเลยว่า กิเลสมากมายสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก็อุปมาเหมือนเรือที่เต็มไปด้วยน้ำ แล้วเอาน้ำหนักๆ ไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ไหมคะ ก็ไม่มีทางเลย ต้องค่อยๆ วิดน้ำออกจากเรือ ในขณะนี้เรือหนักไหม เรือของใครคะ แต่ละหนึ่ง หนักด้วยกิเลส จะวิดน้ำไหม ก็คือมีปัญญาเมื่อไรก็ค่อยๆ วิดน้ำ คือ อกุศลออกไปทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย จะไม่รู้เลยว่า เกิดมาทำอะไรบ้าง แล้วจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร จะเหมือนเดิมคือมีความพอใจในรูปที่ปรากฏทางตาวันแล้ววันเล่า ในเสียง ในกลิ่น ในรส เหมือนกันทุกวัน พระเถระท่านหนึ่งท่านอุปมาว่า เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ทุกคนคงรู้จักแมงเม่า พอเห็นแสงไฟก็ไปแล้วสู่แสงไฟ

    เพราะฉะนั้น รูปมี จิตไปไหน ไปที่รูปด้วยความยินดีติดข้อง เสียงมี จิตไปที่เสียงอีกแล้วด้วยความยินดีติดข้อง เพราะฉะนั้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นไฟ ซึ่งความไม่รู้ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรู้สิ่งนั้น แล้วก็ชอบด้วย เท่าไรก็ไม่พอ

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ที่นั่งอยู่ที่นี่ ฝูงแมงเม่า ใช่หรือเปล่าคะ แล้วก็บินไปหากองไฟตั้งแต่เช้า ตลอดวัน ตลอดชาติ เรือหนักไหมคะ อัตภาพที่มีกิเลสก็หนักมาก

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่มี และเคยยึดถือว่า เป็นเรา ซึ่งความจริงก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควรที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เท่านั้นเอง แล้วก็ดับไป แสนสั้น แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อทันทีอย่างรวดเร็ว เหมือนไม่มีสิ่งใดที่เกิดแล้วดับไปเลยสักอย่าง

    เพราะฉะนั้น กว่าจะฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่เรืออยู่ที่ไหน ไม่ไกลเลย น้ำหนักมากไหม ใครรู้ และความเข้าใจจากการได้ฟังเพียงเรื่องราวของสิ่งที่มีจริง เมื่อไรจะรู้จักตัวจริงของธรรม ซึ่งขณะนี้ก็คือเดี๋ยวนี้ ธรรมดา ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย แต่ความไม่รู้กั้นไว้สนิท ปกปิดไว้ มองไม่เห็นความจริงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยแน่นอนจึงเกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ขณะนี้น้ำออกไปบ้างหรือเปล่า แล้วเข้ามาอีกเท่าไร อาจจะออกไปบ้างนิดหน่อย แต่ก็เข้าไปอีกมากเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความอดทนอย่างยิ่ง ขันติเป็นบารมี


    หมายเลข 9609
    19 ก.พ. 2567