ทุกข์เพราะเพลิน


    ทุกข์เพราะเพลินหรือเปล่า ถ้าไม่ติดข้อง ไม่เพลิดเพลินเลยจะเป็นทุกข์ไหม ไม่ต้องเดือดร้อนที่จะต้องเพลิดเพลิน ที่ต้องคอยแสวงหาความเพลิดเพลิน ไม่เดือดร้อนจริงๆ แต่เพราะเหตุว่าติดข้อง และเพลิดเพลินในขณะนั้นจึงไม่รู้ว่า ถ้าไม่เพลิดเพลินไม่ติดข้องเสียเลย ไม่ทุกข์แน่นอน แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นทุกข์ ก็มีความติดข้องเพราะพอใจ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้น ก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ในขณะที่กำลังติดข้องเป็นทุกข์ แต่จะรู้เมื่อถ้าไม่ติดข้องเมื่อไร ไม่มีเลย เมื่อนั้นเป็นสุข

    เพราะฉะนั้น ความหมายก็คือว่า เพราะมีความเพลิดเพลินก็ต้องเป็นทุกข์แน่นอน และอีกอย่างหนึ่งก็คือชีวิตประจำวัน ทางตามีสิ่งที่ปรากฏแล้วคิด ทางไหนมากกว่ากัน ทางตามีสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็คิดถึงนิมิตรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา ติดข้องทางไหนมากกว่ากัน ลองคิดค่ะ ทางใจแน่นอน เวลานี้มีสีหลายสี สีเหลืองก็สวย จบไปแล้วทางตา แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคนที่กำลังใส่เสื้อสีนั้น แล้วก็มีรูปร่างสัณฐานจากสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เป็นคนที่รู้จักแล้วเป็นคนที่คุ้นเคย ความเพลิดเพลินในเพียงสีที่ปรากฏ ก็จะต่างกับเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เป็นเพียงสี ถูกต้องไหมคะ เสื้อผ้าสีเหลืองเต็มร้าน แต่รูปร่างนิมิตสัณฐานของสีเหลืองนั้นแหละที่ดูสวยงามทางใจ เป็นแขน เป็นปก ก็แสดงว่าติดอะไร เพราะว่าสีก็สีเหลืองทั้งร้าน วันนั้นเป็นวันสีเหลือง แต่นิมิตสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏเป็นแขน เป็นปก ก็ทำให้เกิดความติดข้องในเฉพาะเหลืองนั้น

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แล้วติดข้องในอะไรมากกว่ากัน ทางตาชั่วคราว เวลานี้สีเยอะ แต่ใครกำลังเป็นสีนั้น ก็ติดข้องในสีที่ปรากฏว่าเป็นคนที่เรารู้จักคุ้นเคย หรือเป็นสิ่งที่เพิ่งพบวันนี้ ความติดข้องคุ้นเคยก็น้อยลงไป

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจสืบเนื่องกัน และจะเห็นได้ว่า การติดในสี เช่น ดูภาพวาดเป็นสีเท่านั้นเอง เป็นสีจริงๆ แต่คนในภาพวาดเหมือนกันหรือเปล่า ก็ไม่เหมือนกัน บางทีก็วาดเป็นเทวดาเด็ก ๒ ท่าน ต้องไม่เหมือนกันแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็น ๒ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ก็มีความต่าง พอเป็น ๒ แล้ว พอใจติดข้องในไหน ไม่ใช่แต่เฉพาะในสีที่ปรากฏ มีความคิดความจำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ความเพลิดเพลินก็เพิ่มขึ้นทางใจ จากการที่สิ่งนั้นปรากฏให้เห็นทางตาบ้าง ทางหูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ใจเป็นที่ประมวลมาซึ่งสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว เพราะถึงกาลที่กรรมจะทำให้อุปปัตติ เกิดเห็นนิดเดียว แค่เห็นดับแล้ว แต่นิมิตสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏสืบต่อถึงทางใจที่ทำให้ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตประจำวันก็ทำให้สามารถรู้ความจริงว่า ใจของเราเป็นอย่างไร จะรู้ใจของคนอื่นเป็นไปไม่ได้เลย จะรู้ก็เฉพาะใจของตัวเองว่า ใจของตัวเองติดข้องในอะไรบ้าง แต่ขณะนั้นที่ติดข้องนั้นไม่รู้หรอกว่าเป็นทุกข์แล้ว เพราะเหตุว่าติดข้องแล้ว เพราะถ้าไม่ติดข้องไม่ทุกข์ สบายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้มาก เมื่อไม่รู้ก็ทำให้ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่เห็นว่าเป็นโทษ

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมให้เข้าใจทีละคำ ให้เข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อมีความเพลิดเพลินก็เป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าถ้าไม่เพลิดเพลินเสียแล้วจะเอาทุกข์มาจากไหน ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมจึงต้องรู้ความจริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดง พระพุทธพจน์แต่ละคำเป็นความจริงที่ลึกซึ้ง ที่ค่อยๆ ทำให้ความไม่รู้ค่อยๆ ลดลง เพราะความรู้ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้เรากำลังฟังพระพุทธพจน์ เมื่อวานนี้ก็ฟัง แล้วจะฟังต่อๆ ไปอีกเพื่อเข้าใจ ไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเป็นความเห็นผิดกับความเห็นถูก ความไม่รู้ และความรู้


    หมายเลข 9608
    19 ก.พ. 2567