กินเจ็ดขณะ


    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นธรรมในพระสูตรไหน ข้อความอะไรก็ตามเพื่อเข้าใจธรรม และธรรมก็คือชีวิตประจำวัน และไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือ ถ้าอย่างนั้นถามอีกนิดหนึ่ง คิดต่อไป เห็นบะหมี่ เพียงแค่เห็น กินหรือยัง

    ผู้ฟัง ถ้าเห็นก็ยังไม่ได้ทาน

    ท่านอาจารย์ อิ่มแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่ากินแล้ว เพียงแค่เห็น และรูปที่ปรากฏทางตายังไม่ได้ดับ เหตุที่ทรงแสดงธรรมโดยละเอียด วิถีจิตแต่ละ ๑ ขณะ เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้ว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นผลคือวิบากของกุศล ก็เป็นกุศลวิบาก ผลของอกุศลก็เป็นอกุศลวิบากก็มี และจิตที่ไม่ใช่ทั้งเหตุ และไม่ใช่ทั้งผล คือไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่วิบากก็มี เพื่ออะไรคะ เพื่อให้ผู้ที่ไม่สามารถรู้ความจริงได้ ได้เริ่มเข้าใจความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ คือ เป็นธรรม ไม่ใช่ให้เราไปรู้ขณะจิต แต่ให้เริ่มเห็นถูกว่า สิ่งที่มีทั้งหมดที่เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ถ้าไม่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง อะไรจะมี เราก็ไม่มี โต๊ะก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แต่เพราะไม่รู้ความจริงก็ต้องทรงแสดงโดยละเอียดตั้งแต่ปฏิสนธิ ขณะแรกของจิต ตลอดมาจนกระทั่งถึงกำลังเห็น จักขุวิญญาณ เห็นแล้วก็ดับ เป็นผลของกรรม ไม่ใช่กุศล และอกุศล แต่รูปยังไม่ดับ เมื่อรูปยังไม่ดับ สิ่งที่สะสมมาที่เป็นโลภะ หรืออกุศลก็สามารถเกิดขึ้น ที่ภาษาเดิมๆ ที่ใช้กัน จะใช้ว่า เสพ หรือเสวย ก็คือกินอารมณ์ด้วยความพอใจหรือไม่พอใจ ไม่ใช่เพียงแค่เห็น เห็นดับไปแล้ว จิตเกิดสืบต่อ

    เพราะฉะนั้น กินเมื่อไรคะ ๗ ขณะจิต ที่ใช้คำว่า “เสพ”, “อาเสวนะ” ภาษาไทยก็ใช้คำว่า “เสวย” แต่ความจริงก็คือเต็มทีเลย เพราะเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่สามารถยินดียินร้ายในสิ่งที่ปรากฏได้ เพราะมีหน้าที่เพียงเกิดขึ้นเห็นอย่างเดียวแล้วก็ดับ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็เพียงแค่ ๗

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม จะอย่างไรก็ตามแต่ เพื่อเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่ขณะอื่น ไม่ใช่เอาคนโน้นมา เอาคนนี้มาวิจัยว่า วันนั้นพฤติกรรมเป็นอย่างนี้ วันนี้พฤติกรรมเขาเปลี่ยนแปลง นั่นคือไม่เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดกับตน คือ กำลังเห็น และกำลังคิด

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ต้องไม่ลืมว่า เพื่อรู้ และเข้าใจธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เคยเป็นเรา เป็นเขาก็คือเป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง เห็นดอกไม้ที่บูชาพระธาตุ ก็เสพ แล้วยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นดอกไม้ จะห้ามอกุศลที่สะสมมาไหมคะที่ใช้คำว่า “อุปนิสยะ” มีกำลัง เกิดได้เลย แค่กระทบตา เห็นแล้ว หลังจากนั้นจิตเกิดดับจนถึงรูปยังไม่ดับไป ก็เกิดอกุศลแล้ว เร็วมาก กว่าจะรู้ว่าเป็นดอกไม้ เพราะฉะนั้น วาระหนึ่งๆ รวดเร็วแค่ไหน ประมาทไม่ได้เลย คำสอนของผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นว่าไม่เป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ในทางตรงข้าม ถ้าในขณะนี้ตั้งใจฟังคำที่ทำให้เข้าใจพระธรรม เสพด้วยกุศล

    ท่านอาจารย์ เวลาที่เราใช้คำว่า กุศล อกุศล เกิดดับสืบต่อ ๗ ขณะ ไม่ใช่ผลของกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นต้องเห็น พอเห็นดับไปแล้ว กรรมก็ยังทำให้จิตที่เกิดสืบต่อรับสิ่งที่จิตเห็น รู้ต่อ ก็เพียงขณะเดียว ทำอะไรเกินกว่านั้นไม่ได้ แต่พอยินดียินร้ายในสิ่งที่ปรากฏ พอใจหรือไม่พอใจ กุศล อกุศลสืบต่อกัน ๗ ขณะไม่ต้องทำอย่างอื่นอีกแล้ว เห็นแล้ว รับแล้ว รู้แล้ว จิตอื่นทำหน้าที่ของจิตนั้นๆ แล้ว ถึงเวลาก็กินอารมณ์ สบายๆ หรือเปล่าคะ แต่ว่าอกุศลหรือกุศล


    หมายเลข 9112
    19 ก.พ. 2567