กุศลที่บริสุทธิ์ขึ้น


    ท่านอาจารย์ เพียงปัญญาที่สามารถรู้ว่า วิปลาสเกิดกับอกุศล ไม่เกิดกับกุศล ถูกต้องไหม มิฉะนั้นแล้วอะไรจะไปละวิปลาสได้ แล้วอยู่ดีๆ ปัญญาจะเกิด โดยไม่มีกุศลในวันหนึ่งๆ เลย หวังว่าจะเข้าใจธรรมที่ได้ฟังโดยรวดเร็วเป็นไปได้ไหม ก็ไม่ต้องอาศัยกุศลที่เป็นบารมีเลย ถ้าสามารถเป็นไปได้ แต่เพราะความยากลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ซึ่งแม้เป็นจริงอย่างนี้ จะได้ฟังกี่ชาติก็ตามแต่ ก็เหมือนอย่างนี้แหละ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากความจริงที่ได้ฟังจากพระธรรมที่ทรงแสดง ก็เห็นได้ว่า ฟังเท่าไรก็ยังไม่สามารถรู้จริงถึงในความเป็นธาตุ หรือในความเป็นธรรมที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยกุศล ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ ทราบว่าเป็นปัญญาแน่นอน แต่ปัญญานั้นไม่มีกำลังทำกิจของปัญญาที่ละความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าไม่มีปัญญา จะมีการตรึกถึงกุศลอื่นๆ ที่จะกระทำไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นความเพียรในการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในการเป็นกุศล ในการทำความดี หรืออดทนต่อคำพูดที่ไม่น่าฟัง ต่อความหนาว ความร้อนทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่น่าปรารถนา น่าพอใจ ก็ยังต้องอดทนที่จะเป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราฟังอย่างนี้ ก็ชีวิตปกติธรรมดาเข้าใจได้แค่ไหน ก็เข้าใจแค่นั้น จนกว่าปัญญาจะเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าคิดอย่างตรงไปตรงมา ถ้ากุศลเป็นวิปลาส ก็ไม่มีอะไรจะดับวิปลาสเลย เพราะปัญญาก็เป็นกุศลด้วย

    ผู้ฟัง กุศลที่บริสุทธิ์ต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา มีรายละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีความเข้าใจจากการฟังบ้างหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วปัญญาปรากฏทั้งวันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แต่ปัญญาที่มี ไม่ได้หายไปเลย สังขารขันธ์ปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นสติ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ หรือไม่ว่าจะเป็นตัตตรมัชฌัตตตา หรือเจตสิกใดๆ ทั้งสิ้นที่เป็นสังขารขันธ์กำลังทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้เอง ไม่มีใครทำอะไรเลย นอกจากสภาพธรรมซึ่งเป็นจิต และเจตสิก ซึ่งทำหน้าที่นั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ปัญญาขณะนี้มี แล้วก็ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ไม่มี เพราะสภาพธรรมเกิดดับ จะไม่ให้อกุศลที่สะสมมาเกิดบ้างหรือ ในเมื่อมีเยอะ

    ผู้ฟัง จริงๆ อกุศลเกิดเยอะค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อกุศลก็เกิด แล้วปัญญาสามารถทำหน้าที่ของปัญญาเต็มที่หรือยัง ไม่ได้ แต่เริ่มปรุงแต่งไป แม้แต่การคิด เวลาคิดเป็นกุศล ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลยว่า ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตไม่เกิด อกุศลจิตเกิด

    นี่เป็นปัญญาที่ทำให้เกิดวิริยะ ขันติ ทั้งหมดเลยที่จะทำกุศล แม้เล็กน้อยในขณะนั้น ก็เนื่องมาจากปัญญา แต่ตัวปัญญาจริงๆ ไม่ได้ปรากฏว่า กำลังทำหน้าที่ของปัญญาสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ แต่เพราะเหตุว่ามีปัญญา สภาพธรรมอื่นก็เริ่มคล้อยตาม น้อมตามปัญญา ที่จะรู้ว่า ความดีทางฝ่ายกุศล เป็นสิ่งที่ควรเจริญ ไม่ใช่เจริญเฉพาะปัญญาอย่างเดียว หรือว่ากุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเท่านั้น เพราะเหตุว่าอกุศลมีมาก ตราบใดที่อกุศลยังไม่ลดน้อยลงไปเลย ก็มีปัจจัยที่จะเกิด

    เพราะฉะนั้น สังขารขันธ์ก็ทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ แล้วแต่จะตรึกไปในทางเป็นกุศลประเภทไหน หรืออกุศลประเภทไหน ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะเป็นธาตุ เป็นธรรม ซึ่งปัญญาสามารถรู้ว่า เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา

    นี่คือสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าจะฟังมากสักเท่าไร หรือทำความดีสักเท่าไร แต่ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง กุศลนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุว่ายังเป็นเรา แต่ปัญญาก็เกิดน้อยมาก บางครั้งก็เกิด บางครั้งก็ไม่เกิด ซึ่งต้องอาศัยการอบรม

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามภาวนา คือ การอบรม ถ้าเป็นผู้ประมาท ก็จะไม่เห็นโทษของอกุศลเลย ใช่ไหมคะ นิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ไม่เป็นไร แต่ปัญญานั่นเองทำให้ค่อยๆ เห็นโทษของอกุศลเพิ่มขึ้น แล้วทำให้แม้แต่จะคิด ก็คิดในทางกุศลเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นแล้วทุกคนก็ลืม ปัจฉิมโอวาท พระดำรัสสุดท้ายก่อนจะปรินิพพาน สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ห้ามไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมในกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ปัญญาแม้เพียงเล็กน้อยจากการได้ฟังวันนี้ แล้วจะเข้าใจสักเท่าไร ก็ยังเป็นประโยชน์ที่จะสะสมต่อไป ที่จะทำให้สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งกำลังปรากฏอยู่

    และถ้าเรารู้ว่า ที่ทำกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่ด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะเข้าใจ ก็จะต่างกับขณะที่ไม่เข้าใจ ใช่ไหมคะ เป็นเราปลาบปลื้มในกุศลบ้าง กุศลนั้นเป็นของเราบ้าง ก็ลองเทียบดูว่า กุศลใดบริสุทธิ์กว่ากัน ด้วยอะไร


    หมายเลข 9038
    19 ก.พ. 2567