อนันตรปัจจัย - สมนันตรปัจจัย
สุรีย์ เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ว่าทำไมมันถึงไม่สับสน โดยเฉพาะอย่างจิตที่ไม่ใช่วิถี มันตั้งตนด้วยอดีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ แล้วพอเข้าวิถีก็เป็นปัญจทวาราวัชชนะ แล้วเป็นทวิปัญจวิญญาณจิต
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นเราจะค่อยๆพูดถึงบางปัจจัยเริ่มต้น เพื่อให้ชินหูกับความเป็นปัจจัยว่า ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ ๑ จิต ๒ เจตสิก ๓ รูป ๔ นิพพาน ส่วนธรรมที่ไม่ใช่ปรมัตถ์นั้นก็มีบัญญัติ
เพราะฉะนั้นก็จะได้ทราบว่า สภาพธรรมที่เป็นปัจจัย ก็ไม่ใช่อื่นไปจากปรมัตถธรรมนั่นเอง จิตเป็นปัจจัยหลายอย่าง เจตสิกก็เช่นเดียวกัน รูปก็เช่นเดียวกัน แต่สำหรับบัญญัตินั้นเป็นปัจจัยได้ปัจจัยเดียว คือ เป็นอารัมมณปัจจัย เป็นอารมณ์เท่านั้น เพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง
เพราะฉะนั้นการที่เราจะศึกษาธรรม เราก็พยายามที่จะเข้าใจความละเอียดของธรรม แม้แต่ในเบื้องต้นประกอบไปด้วย เพื่อที่จะเห็นความเป็นอนัตตา อย่างเวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นขณะแรกในภพชาตินี้ สภาพของจิตที่เป็นปฏิสนธิจิตนั่นเองเป็นอนันตรปัจจัย เพราะเหตุว่าเมื่อปฏิสนธิจิตดับ ต้องมีจิตเกิดสืบต่อทันที
สุรีย์ การเกิดสืบต่อนั่นคืออนันตรปัจจัย ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์
สำหรับอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ได้แก่ ทั้งจิตและเจตสิก ไม่ใช่เฉพาะจิตเท่านั้นที่เป็นอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย แม้เจตสิกที่เกิดร่วมกันก็เป็นอนันตรปัจจัย และสมนันตรปัจจัยด้วย นี่ข้อหนึ่ง แล้วอีกประการหนึ่งก็คือว่า รูปไม่เป็นอนันตรปัจจัย เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นสมนันตรปัจจัยด้วย เฉพาะนามธรรมที่รู้อารมณ์เท่านั้นที่เป็นอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย
บางทีเราอาจจะคิดว่า รูปเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แล้วก็มีรูปเกิดแล้วก็ดับสืบต่อกัน แต่การเกิดดับสืบต่อกันของรูป ไม่ใช่เพราะรูปก่อนเป็นอนันตรปัจจัยดับไป แล้วก็ทำให้รูปต่อไปเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าสมุฏฐานที่เกิดของจิตนั้นมี ๔ คือ บางรูปเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดขึ้นเพราะอุตุ ความเย็นความร้อนเป็นสมุฏฐาน และบางรูปเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน
เพราะฉะนั้นเมื่อรูปเกิดเพราะกรรมดับ กรรมนั่นแหละก็ทำให้รูปต่อไปเกิด หรือว่ารูปที่เกิดเพราะอุตุ อุตุดับ อุตุก็ทำให้รูปเกิดขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับรูปที่ดับไป เพราะฉะนั้นสำหรับอนันตรปัจจัยและสมานันตรปัจจัยนั้น ได้แก่ เฉพาะจิตและเจตสิกเท่านั้น