ไม่มีบารมีไม่ได้เลย


    ผู้ฟัง ความดีทั่วไป ต่างกับความดีที่เป็นบารมีอย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ ก็เขาไม่ได้ต้องการเข้าใจธรรมที่ออกจากสังสารวัฏฏ์เลย เขาก็ยังติดข้อง บอกให้ใครออกจากสังสารวัฏฏ์ ใครจะออกบ้าง ไม่ออก สบายดี สนุกดี เกิดที่ไหนก็ได้ ยิ่งเทวดาก็ยิ่งดี มนุษย์ก็ได้ หรืออะไรอย่างนี้ เพราะเขาไม่เห็นโทษภัย

    ผู้ฟัง หมายถึงบารมีเกื้อกูลต่อสติปัฏฐานอย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ มีปัญญาเป็นหัวหน้าค่ะ เริ่มปัญญาบารมี ต้องมีปัญญา ถึงจะเห็นว่า กุศลทั้งหลายแม้ว่าเราจะทำไปสักเท่าไร แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็ออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ หนทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์นี่ยากมาก ต้องเป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ ถ้ายังพอใจในสังสารวัฏฏ์ ก็ยังทำกุศลไป และได้ผลของกุศลไปแต่ละชาติ

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์พูดว่า หลายๆ คนทำความดีที่ไม่ใช่บารมี ดิฉันกลับคิดว่า ทุกคนก็คงอยากออกจากสังสารวัฏฏ์ แต่ไม่เข้าใจหรือไม่ทราบเหตุปัจจัยหรือเปล่าคะ

    ท่านอาจารย์ การที่แม้จะคิดออกจากสังสารวัฏฏ์ ก็ด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีการคิดออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังไม่เห็นโทษภัยของสังสารวัฏฏ์เลย ต้องเห็นจริงๆ ว่า ไม่มีใครจะออกได้ วนเวียนอยู่เหมือนในเหวลึก มืดสนิท ที่ไม่มีทางออก ถ้าไม่มีพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ จะออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ ถึงแม้รู้ แล้วก็ต้องอบรมบารมีเพื่อจะถึง เหมือนคนที่รู้หนทางแต่เป็นโรค เดินไม่ไหว แล้วจะไปอย่างไร ร่างกายก็ไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยกุศลอื่นๆ เป็นเครื่องประกอบ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดตรงนี้หลายครั้งถึงเรื่องเป็นโรค เมื่อได้พิจารณาตัวเองว่า เป็นโรคมากมายจริงๆ ที่ท่านอาจารย์ใช้คำว่า ฟื้นขึ้นมา แล้วก็สลบลงไป เป็นสภาพธรรมที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ยากแสนยาก แต่มีทางเดียวคือให้เข้าใจ แล้วอบรมต่อไป

    ท่านอาจารย์ ก็มีพระธรรมเท่านั้นที่เป็นสรณะ เพราะฉะนั้นเราจึงเริ่มเห็นคุณของพระธรรมว่า เป็นที่พึ่งที่แท้จริง ที่จะทำให้เราเกิดปัญญา มีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะว่าสิ่งอื่นพึ่งจริงๆ ไม่ได้เลย ทรัพย์สมบัติที่มีมาก ยุคนี้สมัยนี้ก็สูญหายกันไปได้ แต่ความดีหรือความเข้าใจธรรมจะติดตามไปได้ เมื่อฟังอีก ก็จะเข้าใจได้เร็ว และสามารถเข้าใจขึ้นๆ ได้

    ผู้ฟัง อย่างเมตตาบารมีเกื้อกูลต่อสติปัฏฐานได้อย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ เราไม่ต้องเจาะจงเลย แต่ทุกบารมีให้คิดว่า ถ้าเราเป็นคนที่ร้ายมาก โหดร้าย เกลียดคนนั้น ชังคนนี้ ไม่ให้อภัย แล้วอย่างไรคะ สติจะระลึกของลักษณะของสภาพธรรม จะมีประโยชน์อะไรที่จะมีปัจจัยให้เราน้อมด้วยจิตใจที่อ่อน ที่เป็นกุศล และกุศลที่สูงกว่าเพียงทาน ศีลด้วย เป็นกุศลที่เกิดจากความเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนี้เป็นธรรม แต่ไม่รู้ตัวจริงของธรรม เพียงการศึกษา เพียงเข้าใจเรื่องราว ทั้งๆ ที่ตัวจริงของธรรมเผชิญหน้าอยู่ทุกขณะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นธรรมทั้งหมดก็ยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปรำพึงรำพันว่า เราเห็นโทษของกิเลส เราละอายมากที่เราไม่รู้ธรรม แต่ขณะใดที่เป็นกุศล หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ศรัทธา สติ เขาเกิด เป็นสภาพธรรมที่ต้องมีอย่างน้อยที่สุด ๑๙ ประเภทฝ่ายดีที่จะเกิด และเกิด แล้วด้วยขณะที่กำลังเป็นกุศล ไม่ใช่มีตัวเราอีกต่างหากที่ต้องไปนั่งคิด นั่งพรรณนา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    เพราะฉะนั้นวิปัสสนา กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา เป็นปัญญาที่รู้ตามความจริงที่มีปัจจัยเกิด แล้วปรากฏ เดี๋ยวนี้ที่มีเพราะเกิด เพราะปรากฏ ก็รู้ตามสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปทำอะไร

    เพราะฉะนั้นเราก็ต้องสะสมปัญญาที่จะต้องรู้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีปัญญาระดับนี้ ก็เป็นการรู้เพียงเรื่องราวเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ความจริงก็มี ก็ไม่รู้ มีจริงๆ ทุกๆ วัน ก็ไม่รู้ เพราะไปนั่งรู้ชื่อกับรู้เรื่องราว ก็คิดว่าจิตเป็นดวงๆ ประกอบด้วยเจตสิกเท่านั้นเท่านี้ แต่ความจริงคือขณะนี้แหละ จิตอะไรทำหน้าที่เห็น จิตอะไรทำหน้าที่ได้ยิน จิตอะไรคิดนึก เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต


    Tag  ชุมพร  
    หมายเลข 8241
    9 ม.ค. 2567