เพราะเรายังมีกิเลส


    บุษบง ในขณะที่จิตเกิดมีอุปาทขณะ ฐิติ ภังคะ อุตุก็ไปเกิดตรงฐีติขณะ

    ท่านอาจารย์    อุตุมีคะ เพราะเหตุว่าในกลุ่มทุกกลุ่มของรูปจะต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม  อุตุได้แก่ธาตุไฟ เมื่อมีธาตุไฟ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดรูปอีกกลุ่มหนึ่ง คือ อุตุชรูป ไม่อย่างนั้นมีแค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นปสาทรูป โตมาอย่างนี้ไม่ได้

    บุษบง ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงวัตถุรูป เป็นหทยวัตถุ อันเดียวกันไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ การฟังธรรมเพื่อการเข้าใจ เพื่อละ แต่ละนี่ไม่ใช่เราละ ปัญญาที่รู้จึงจะละความไม่รู้ ข้อสำคัญที่สุดอย่าไปคิดละอะไรเลย ละความไม่รู้ค่ะ พอเข้าใจแล้วปัญญาเขาจะเจริญขึ้นแล้วทำหน้าที่ของเขาเอง

    บุษบง อีกข้อหนึ่งที่บอกว่า พระพุทธองค์เห็นต่างจากที่เราเห็น หมายความว่าที่เราเห็น จะต้องเกิดแต่อกุศลหรือกุศล แต่ถ้าเป็นพระองค์ ท่านจะเข้าใจ แล้วท่านจะไม่มีกุศลหรืออกุศล

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีกิเลสเลย ทั้งปริยุฏฐานกิเลส ทั้งวีติกกมกิเลส ทั้งอนุสัยกิเลส เรียกว่าไม่มีพืชเชื้อที่จะให้เกิดกิเลสใดๆทั้งสิ้น มิฉะนั้นแล้วจะไม่ชื่อว่า อรหันต์ ไม่ใช่ไปเรียกใครเอาตามใจชอบว่า คนนี้เป็นอรหันต์ คนนั้นเป็นอรหันต์ แต่ต้องมีคุณธรรม คือ ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงขั้นที่จะดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้นเห็นมี แต่หลังจากเห็นแล้ว ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล แต่คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ห้ามไม่ได้เลย ต้องเป็นกุศลหรืออกุศล อย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉะนั้นอยู่ที่ตัวกิเลส ถ้ายังมีอยู่ ก็จะเหมือนอย่างพระอรหันต์ไม่ได้

    ทำอย่างไรจิตถึงจะบริสุทธิ์หมดจดถึงอย่างพระอรหันต์ ต้องมีปัญญารู้ความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏ จึงไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีกิเลสได้ ทั้งๆที่เห็นก็ไม่มีกิเลส เพราะรู้ความจริงของสิ่งที่เห็น

    บุษบง อย่างที่กล่าวว่า เราทำกุศล อกุศล แล้วก็จะเป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่จะเป็นวิบากนะคะ กุศล อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก

    บุษบง ให้เกิดวิบากนี่คือ ตาเห็นรูป จมูกได้กลิ่น ใช่ไหมคะ ทีนี้ถ้าเรามีปัญญาแล้ว วิบากก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก เพราะไม่ได้เป็นกุศลหรืออกุศล

    ท่านอาจารย์ ปัญญาขั้นไหน

    บุษบง หมายความว่าจริงๆแล้ว วิบากเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะกุศล หรืออกุศล เราถึงได้สร้างต่อไป แต่วิบากก็คือวิบากขึ้นมาอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ วิบากนี้ยับยั้งไม่ได้เลย หมายความว่าเมื่อมีเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิด เราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดในโลกนี้ เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นคนนี้ แต่กรรมทำให้เราเกิดเป็นคนนี้ และกิเลสที่เราสะสมมาก็ทำให้เราทำสิ่งซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจจะทำตั้งหลายอย่าง เราไม่อยากให้เป็นอกุศล ไม่อยากให้กรรมอย่างนี้เกิดขึ้น แต่เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำอกุศลทางกาย ทางวาจา

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของอนัตตา ซึ่งปัญญาจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงขึ้น แล้วก็ละความยึดถือว่าเป็นตัวตนก่อน ให้รู้ความจริงของสภาพธรรมว่า ธรรมเป็นธรรม


    หมายเลข 8208
    7 ก.ย. 2558