มหาภูตรูป ๔ - ๓
ท่านอาจารย์ นอกจากมหาภูตรูป ๔ แล้ว ยังมีรูปอื่นซึ่งรวมอยู่ จะใช้คำว่า “ปน” อยู่ก็ได้ แต่หมายความว่า มีรูปอีก ๔ รูปเกิดรวมกัน โดยไม่แยกจากกันเลย ก็คือ สี ได้แก่ วัณณะ
ผู้ฟัง แล้ววัณโณละคะ
ท่านอาจารย์ เหมือนกันค่ะ เป็นภาษาบาลี จะใช้ วัณโณ ภาษาบาลีเขามีเพศ เพศหญิง เพศชาย ก็ใส่ สระโอ สระอี แต่ภาษาไทยเราก็อิสระ เดี๋ยววัณณะ เดี๋ยววัณโณก็ได้ ก็หมายความว่าเราลืมไปว่า ที่ไหนที่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่นั่นมีสี เป็นรูปอีกรูปหนึ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาททำให้มองเห็น
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยู่ในห้องมืด แสงสว่างไม่พอ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีปัจจัยที่จะให้ปรากฏเป็นสีต่างๆ แต่ถ้ามีปัจจัย คือ แสงสว่างพอเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะมีรูปสีปรากฏ อย่างที่โต๊ะจะเห็นได้ว่า มีสี ทุกแห่งที่เราเห็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าด้วยตาแล้ว เราไม่เห็นลักษณะที่แข็งหรืออ่อน แต่เราเห็นสีสันวัณณะของสิ่งนั้น เพราะเหตุว่าในรูปธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีอีกรูปหนึ่งซึ่งเกิดร่วมกับธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม คือ สี ภาษาบาลีใช้คำว่า “วัณโณ”
อันนี้ยังสงสัยไหมคะ ของจริงทั้งนั้น ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ดิฉันอยากจะกล่าวรูปทั้งหมดก่อน ๒๘ ว่ามีอะไรบ้าง ประกอบด้วยอะไร แล้วเราจะอธิบายต่อไป
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเสร็จวันนี้ค่ะ
ข้อสำคัญที่สุด ไม่ใช่จบ ค่อยๆ ไปให้เข้าใจ ทุกคนที่ฟังเรื่องมหาภูตรูป ให้เข้าใจเรื่องมหาภูตรูป ถ้าเข้าใจเรื่องมหาภูตรูปแล้ว ต้องเข้าใจเรื่อง “อุปาทายรูป” อีก ๔ รูปที่รวมอยู่ แล้วไม่ใช่เข้าใจแล้วทิ้งไป หรือลืม หมายความว่าพิสูจน์ได้กับตัวเองว่า ไม่ว่าจะอยู่ในโลกนี้ นอกโลกนี้ ที่ไหนก็ตาม ให้รู้ความจริงว่า จะต้องมีรูปซึ่งแยกออกอีกไม่ได้แล้ว อย่างน้อยที่สุดต้องมีรูปรวมกัน ๘ รูป ให้เข้าใจแล้วจำได้ แล้วไม่ไปท่อง คือ ถ้าพูดเป็นชื่อๆ ออกมา วันนี้ยังอาจต้องไปท่องแล้วจำว่ามีอะไรบ้าง แต่วันนี้ที่ฟัง ไม่อยากจะให้ท่องเลยค่ะ อยากให้เข้าใจ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ถ้าใครยังไม่รู้ชื่อภาษาบาลี ก็จดไว้ ธาตุดิน ก็ได้แก่ ปฐวีธาตุ ธาตุน้ำ อาโปธาตุ ธาตุไฟ ก็ได้แก่ เตโชธาตุ ธาตุลม ก็ได้แก่ วาโยธาตุ แล้วเราก็ใช้ภาษาอย่างนี้ พายุ ตัว ว กับ ตัว พ ใช้ด้วยกันได้ วาโย วายุ พายุ ก็คือธาตุลม เตโช ธาตุไฟ ปฐวี ก็ธาตุดิน อาโป ก็ธาตุน้ำ
ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าจะพูด ๒๘ รูปอย่างละเอียด แค่นี้ก็ไม่พอ เดี๋ยวจะไม่ได้ถามปัญหาอื่น ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ก็ไม่เป็นไรค่ะ เอาเรื่องธาตุทั้ง ๔ มีใครมีปัญหาไหม ให้กระจ่างชัดไป จะได้ไปพร้อมๆ กัน จะได้ไม่ลืม และไม่ใช่อยู่ที่อื่น อยู่ที่ตัว และทุกสิ่งด้วย ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ไม่ใช่แต่ที่ตัวเท่านั้นที่มีรูป ๘ รูป ที่ไหนก็มี ที่ไหนมีรูป ต้องมีรูปอย่างน้อยที่สุด ๘ รูป
ผู้ฟัง โอชะ คือ รสหรือคะ
ท่านอาจารย์ โอชะไม่ใช่รสนะคะ แต่คนไทยบอกว่า อร่อยไหม เราก็เลยคิดว่า ของนี่โอชามาก อร่อยมาก แต่ความจริงไม่ใช่ค่ะ โอชะหมายความถึงส่วนที่มีประโยชน์ของรูปที่จะทำให้เกิดรูป เพราะว่าร่างกายเราเกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน ถ้าไม่มีอาหาร คือ ไม่รับประทานอาหารด้วย ร่างกายอยู่ไม่ได้ ไม่สามารถจะดำรงต่อไปได้ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยโอชะในรูปอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ซึ่งเป็นส่วนที่จะทำให้ร่างกายดำรงอยู่ เพราะเหตุว่าโอชารูปเป็นปัจจัยทำให้รูปอื่นเกิดขึ้นด้วย มองไม่เห็น ไม่ใช่รส ไม่ใช่เค็ม ไม่ใช่หวาน แต่เป็นส่วนที่เป็นประโยชน์ในอาหารที่จะทำให้เกิดรูป
ผู้ฟัง มันก็ไม่ใช่มหาภูตรูป ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ มหาภูตรูป คือ ๑. ธาตุดิน ๒. ธาตุน้ำ ๓. ธาตุไฟ ๔. ธาตุลม ธรรมนี่ไม่ปนกัน แยกกันไปเลย ธาตุดินจะบอกว่าเป็นธาตุไฟก็ไม่ได้ ธาตุไฟจะมาบอกว่าเป็นธาตุลมก็ไม่ได้ ธาตุดินคือดิน อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟ คือ เย็นหรือร้อน ธาตุลม คือ ตึงหรือไหว ธาตุน้ำ คือ ไหล และเกาะกุม จะเอาอะไรๆ มาเป็นธาตุต่างๆ เหล่านี้อีกไม่ได้ ธาตุเหล่านี้คือแค่นี้ ๔ ก็ ๔