ต้องเริ่มจากโลกียปัญญาก่อน
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นต้องรักษาหู รักษาตาจากบอดให้เห็นดีเสียก่อน แล้วถึงจะสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงได้
ก่อนจะถึงนิพพาน จิตมี รู้ความจริงของจิตหรือยัง เจตสิกมี รู้ความจริงของเจตสิกหรือยัง รูปมี รู้ความจริงของรูปหรือยัง
นี่คือกำลังรักษาตาที่บอดให้ตาดี ให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องเป็นโลกียปัญญาก่อน ก่อนที่จะถึงโลกุตตรปัญญา
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นการเกิดของเราเป็นผลของกรรมที่ต่างกัน อย่างกรรมที่เราทำ เช่นเวลาให้ทานไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้ รักษาศีล ก็ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่ขณะที่เรากำลังฟังพระธรรมเป็นกรรมชนิดหนึ่ง เป็นกุศลกรรม เป็นกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา ขณะใดที่เข้าใจถูกต้อง ขณะนั้นเป็นปัญญา ไม่ใช่เรา เป็นเจตสิกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดกับจิต ทำให้จิตนั้นเป็นจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นกุศลประเภทที่ประกอบด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นถ้ากุศลนี้ให้ผล ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด จิตที่ปฏิสนธินั้นจะมีปัญญาเกิดร่วมด้วย ทำให้ผู้นั้นเมื่ออบรมเจริญปัญญาขึ้น สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ถ้าเป็นผลของกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น ผลของทาน ผลของศีล ซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา ปฏิสนธิจิตของผู้นั้น เวลาที่เป็นผลของกรรมนั้น ก็ทำให้เป็นปฏิสนธิจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นเขาฟังธรรมได้ เขาค่อยๆอบรมเจริญปัญญาได้ แต่ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะเหตุว่าปฏิสนธิจิตไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีเหตุผลด้วย ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกัน ต้องเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว และเหตุก็ต้องสมควรกับผลด้วย