โลกคืออะไร


    ผู้ฟัง ผมขอถามเป็นปุจฉาวิสัชนาให้อาจารย์อธิบายต่อว่า โลกที่พระพุทธเจ้าบัญญัตินั้นคืออะไร  และโลกุตตรปัญญานั้นมันยากเย็นไหม จะถึงมันได้ไหม

    ท่านอาจารย์    อยากถึงไหมคะ หรือว่ายังไปเรื่อยๆ ตามสบาย เพราะรู้ว่า ถ้าปัญญายังไม่เกิดแล้วอย่าหวังเลย เป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงนิพพาน โดยที่ปัญญาไม่เกิด

    คำว่า ”โลก” น่าสนใจมาก โลกในพระพุทธศาสนาหมายความว่า สภาพธรรมที่แตกดับคือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นโลก ทุกอย่างที่เกิดดับเป็นโลก

    เพราะฉะนั้นนิพพานเป็นโลกุตตระ เพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพธรรมที่เกิดดับ

    นี่คือความต่างกัน ทุกอย่างที่เกิด ที่จะไม่ดับ ไม่มี ขณะจิตแรกที่เกิดในโลกนี้ ขณะเดียว คือ ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นจิตของเราแต่ละขณะเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ทำกิจหน้าที่ต่างๆกัน สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดดับ สภาพธรรมนั้นเป็นโลก จิตก็เป็นโลก เจตสิกก็เป็นโลก รูปก็เป็นโลก ทุกอย่าง ถ้าประจักษ์การเกิดดับจริงๆ จะรู้ว่า โลกสมมติ ที่เราเห็นว่ามั่นคง หนาแน่น ใหญ่โตมโหฬาร แท้ที่จริงแล้วก็คือกองฝุ่นหรือกลาปของส่วนที่ละเอียดที่ย่อยที่สุด เราสามารถจะแตกแยกโลกเป็นฝุ่นละออง เป็นผงธุลีอย่างละเอียดได้ นั่นคือความจริง แต่ถ้าตราบใดยังเกาะกุม ยังไม่แตกทำลาย เราก็มองเห็นเป็นก้อนใหญ่ๆ แต่ว่าด้วยปัญญาจะเห็นได้ว่า แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่า หนาแน่นแข็งแรง อย่างไมโครโฟน หรือเก้าอี้ หรือถ้วยแก้ว ความจริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดมาก จะให้แตกเดี๋ยวนี้ก็ได้ ให้ละเอียดสักเท่าไรก็ได้

    นี่แสดงให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วก็คือฝุ่น หรือผงละอองซึ่งเกิดรวมกัน เพราะฉะนั้นสภาพธรรมใดที่เกิด สภาพธรรมนั้นดับ ในขณะนี้ทุกอย่างกำลังเกิดดับ แต่เวลาที่จะประจักษ์จริงๆ ไม่ได้ประจักษ์โลกทั้งก้อน หรือศาลาทั้งหลัง หรือตึกทั้งหลัง แล้วก็บอกว่า มองเท่าไรก็ไม่เห็นว่าดับ เพราะเหตุว่าในขณะนั้นไม่ได้เห็นธรรม แต่มีความคิดนึกในสมมติบัญญัติ ในสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังไม่ได้แตกย่อยทางตาออกจากทางหู ออกจากทางจมูก ออกจากทางลิ้น ออกจากทางกาย ออกจากทางใจ ยังไม่ได้แตกย่อยรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า  หรือว่าทุกรูปออกเป็นส่วนเล็กๆ ซึ่งละเอียดมาก

    เพราะฉะนั้นถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่ จะไม่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะว่าตามความเป็นจริงแล้ว รูปแต่ละรูปเกิดจากสมุฏฐานต่างกัน กลุ่มของรูปบางรูปเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน  อุตุ คือความเย็น ความร้อน และบางรูปก็เกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐาน แม้แต่สมุฏฐานให้เกิดรูปก็ต่างกัน

    เพราะฉะนั้นรูปที่เกิดดับทยอยกัน ไม่ใช่เกิดพร้อมกัน เพราะว่าในตัวก็มีรูปที่เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ หรือข้างนอกตัวก็มีรูปซึ่งเกิดจากอุตุ แล้วก็ทยอยกันเกิดดับด้วย

    เพราะฉะนั้นแต่ละส่วนที่ปรากฏ ที่จะปรากฏการเกิดดับได้ ต้องปรากฏเป็นส่วนๆ ไม่ใช่รวมทั้งหมด เวลานี้ไม่มีอะไรเลยที่จะปรากฏรวมทั้งหมด ถ้ากระทบสัมผัสจะแข็งบางส่วน เพราะฉะนั้นปัญญาที่ประจักษ์ก็จะประจักษ์แจ้งเฉพาะส่วนที่กำลังเกิดแล้วดับไป

    ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องฟังอีกเรื่อยๆ วันเดียวคงไม่พอ และถ้าสนใจตอนไหนก็ถามตอนนั้น

     


    หมายเลข 8152
    7 ก.ย. 2558