ตรงและจริงใจตามธรรม


    ถ้าทุกท่านขณะนี้หลับตา เป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ มีอะไรปรากฏ ตรง และจริงใจ นี่คือคำตอบของการศึกษาทั้งหมด

    หลับตา มีอะไรปรากฏ มีคนปรากฏหรือเปล่า มีเราที่กำลังนั่งอยู่หรือเปล่า

    นี่คือคำตอบของธรรมว่า ไม่มีอะไรเลย นอกจากธรรมหนึ่งที่ปรากฏ แล้วทำไมเราจำไม่ลืมเลย ว่าเป็นเรา และเป็นเขา เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา และกว่าจะค่อยๆ เข้าใจพระธรรมว่า จริงอย่างที่ได้ทรงแสดงไว้เพราะการตรัสรู้ ก็แสดงว่ากำลังเดินทาง คือ อบรมปัญญาที่จะให้รู้ความจริงอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพียงแค่หลับตาทุกคนเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเราที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ใช่ไหมคะ ไม่มีเขาไม่มีอะไรเลย แล้วทำไมไม่เข้าใจให้ถูก เห็นไหมคะ

    เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมไม่เข้าใจให้ถูกว่า ไม่มีจริงๆ จำไว้ทำไมว่ายังมีอยู่ นี่เห็นแล้วว่า กว่าเราจะเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมตรง แต่ขึ้นอยู่กับปัญญา

    เพราะฉะนั้นไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยสักอย่าง ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ธรรมก็เป็นธรรมซึ่งเป็นอย่างนั้น แต่ความไม่รู้มากมาย จนกระทั่งทั้งๆ ที่ไม่มีอะไร ก็ยังมี มีเราอยู่ที่นั่น ยังไม่ลืม และถ้าคนช่างคิดยังจำได้ แขนขาเป็นอย่างไร อยู่ตรงไหน ก็ไปจำในสิ่งที่ไม่มี ไม่ได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชั่วคราว เมื่อมีปัจจัยจึงเกิด เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น อะไรก็ตามที่กำลังเป็นจริงขณะนี้ ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเลยว่า ยังมีเรา หรือยังมีห้องนี้ หรือยังมีอะไร มิฉะนั้นก็แล้วก็ไม่สามารถที่จะการยึดถือธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเป็นเราได้

    เพราะฉะนั้นก็ยังห่างไกลกับปฏิเวธ เพราะว่าขั้นนี้เป็นขั้นปริยัติ เพียงฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แล้วก็ยังไม่ถึงปฏิปัตติ หรือท่านผู้ใดจะถึงก็ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่เพราะอยาก เพราะหนทางนี้เป็นหนทางละความติดข้อง ถ้ายังคงติดข้องอยู่ก็บังหมดเลย กลายเป็นมีเราที่ต้องการจะรู้แต่รู้ไม่ได้เลย เพราะขณะนั้นไม่ได้เข้าใจความจริงตามความเป็นจริงที่ละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเพื่อสะสมความเป็นจริงเพื่อความเห็นถูกความเข้าใจถูกจนความประจักษ์แจ้งด้วยความเข้าใจในสิ่งที่มีเป็นปกติอย่างนี้เลย ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ก็ละสักกายทิฏฐิ การจำว่ายังมีเรา หรือว่ายังมีสิ่ิงหนึ่งสิ่งใด มิฉะนั้นก็ยังไม่ถึงความหมายที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายไม่ที่ยง เกิด และดับไป เมื่อดับแล้วจะเหลืออะไรก็ต้องไม่เหลือ ความจริงเป็นอย่างนี้จนว่าความไม่รู้ ติดข้องจะค่อยๆ คลายลดน้อยลง ความจริงก็จะปรากฏอย่างนี้ แต่เป็นปัญญาที่สามารถเข้าถึงความจริงด้วยความมั่นคงได้


    หมายเลข 8138
    18 ก.พ. 2567