วิบาก ๒ ประเภท


    คำถามครั้งก่อน ถามว่า วิบากจิตที่เป็นอเหตุกะกับวิบากจิตที่เป็นสเหตุกะ ประเภทใดดีกว่ากัน มีวิบากจิต ๒ ประเภท วิบากจิตที่เป็นอเหตุกะหมายความว่าไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย เพราะกรรมใดที่ได้กระทำแล้วต้องให้ผล แต่สำหรับอกุศลกรรมให้ผลได้เพียงแค่อกุศลวิบากที่เป็นอเหตุกะทั้ง ๗ ไม่ประกอบด้วยเหตุเลยสักเหตุเดียว ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่คิดถึงสถานที่ ปลาเห็นกับคนเห็น เทวดาเห็น เห็นเป็นเห็น แต่ถ้ารูปร่างปลา เราบอกว่าปลาเห็น ถ้ารูปร่างคน เราบอกว่าคนเห็น ถ้าเทวดาเราก็บอกว่าเทวดาเห็น แต่เห็นเป็นเห็น เป็นอเหตุกะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมไม่ได้เลย ขณะใดที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นอเหตุกะ ยังไม่ประกอบด้วยเหตุใดๆ แต่หลังจากนั้นแล้วจึงจะมีเหตุเกิดร่วมด้วยเป็นสเหตุกะทั้งหมด นอกจากอเหตุกจิต ๑๘ จิตที่เหลือทั้งหมดกล่าวได้ว่าเป็นสเหตุกะทั้งหมด เช่นนี้ก็ไม่ยากใช่ไหมที่จะจำ แล้วคำตอบว่าอย่างไร ที่ถามว่าวิบากจิตเป็นผลของกรรม เมื่อกรรมกระทำไปแล้วถ้าเป็นอกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ๗ ดวงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นทางฝ่ายกุศลกรรมให้ผล ๒ อย่าง คือให้ผลเป็นอเหตุกวิบากกับสเหตุกวิบาก นี่เริ่มมีความต่างที่จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดต่าง ต่างเพราะอะไร แล้วก็ต่างเมื่อใด แต่ก็จะค่อยๆ เข้าใจไปเพื่อที่จะเป็นการทบทวน เพื่อที่จะเป็นการรู้ว่า ความจริงแล้วอะไรเป็นอะไร เช่น อเหตุกวิบากกับสเหตุกวิบาก ประเภทใดดีกว่ากัน สเหตุกวิบากดีกว่าเพราะเหตุใด

    ผู้ฟัง เพราะว่ามีเหตุ

    ท่านอาจารย์ เหตุอะไร

    ผู้ฟัง อโลภะ อโทสะ อโมหะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง มีโสภณเหตุเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงวิบากซึ่งต่างกัน ก็เพราะว่าวิบากประเภทหนึ่งซึ่งเป็นอกุศลวิบากทั้งหมดไม่มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่สำหรับผลของกุศลกรรมที่เป็นอเหตุกะไม่มีเหตุร่วมด้วยก็มี และที่มีเหตุร่วมด้วยก็มี และภายหลังจะรู้ว่าที่ต่างกัน และดีกว่ากันเมื่อใด เพราะเหตุใด

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 76


    หมายเลข 7063
    22 ม.ค. 2567