อกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบากเพยง ๗ ประเภทเท่านั้น


    ผู้ฟัง ขณะที่วิถีจิตจบลงที่โวฏฐัพพนวิถี ดิฉันมีความคิดว่าคือในขณะที่เกือบจะหลับแต่ยังไม่หลับ ลักษณะนี้

    ท่านอาจารย์ เวลานี้อยู่ชั้นอนุบาล กำลังอยู่ที่ภวังคจิตจะไม่รู้อะไร และเวลาที่อะไรจะปรากฏวันนี้ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องมีวิถีจิตแรกซึ่งเป็นกิริยาจิตทางปัญจทวารคือปัญจทวาราวัชชนจิต ทางมโนทวารคือมโนทวาราวัชชนจิต ยังไม่ไปถึงตอนที่

    ผู้ฟัง กล่าว เพราะเรากำลังจะกล่าวถึงว่ากรรมให้ผล เพราะว่าถ้ากรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วเป็นภวังค์ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม บุคคลที่เกิดในนรก เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดคั่น ยังไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก เกิดเป็นอรูปพรหม เวลาที่อรูปาวจรวิบากทำปฏิสนธิกิจดับไปแล้ว อรูปาวจรวิบากที่เกิดต่อก็ทำภวังคกิจ ก็ไม่ได้มีการรู้อารมณ์ทางใจด้วย ถึงแม้จะเป็นรูปพรหม หรือเทวดาเหมือนกันหมด คือหลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับอารมณ์ใดๆ ของโลกนี้ไม่ปรากฏ แล้วเมื่อเป็นภวังคจิตที่เกิดสืบต่อ อารมณ์ใดๆ ก็ไม่ปรากฏอีก แต่ว่าชีวิตจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ชีวิตจริงๆ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ไม่มีใครรู้ว่าเป็นวิบากหลังจากที่ปัญจทวารวัชชนจิตดับลงไปแล้ว คือกรรมให้ผล ยังไม่ไปถึงตอนนั้น แต่ว่าจะกล่าวถึงตอนที่ว่าเวลากรรมให้ผล ถ้าเป็นอกุศลกรรม ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสมากน้อยเท่าใด จะฆ่าพระอรหันต์ จะประทุษร้ายพระผู้มีพระภาคให้พระโลหิตห้อ หรือว่าจะทำทุจริตกรรมต่างๆ ให้ผลเป็นอกุศลวิบากเพียง ๗ ประเภท เราจะรู้ได้เลยว่ากรรมใดๆ ทั้งหมด จะภพภูมิไหนๆ ทั้งสิ้น เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรมแล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบาก ๗ ประเภทเท่านั้น

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 60


    หมายเลข 6690
    22 ม.ค. 2567