จะหวังอย่างไรมากสักเท่าไร สิ่งที่ได้ก็ได้เพียงเท่านี้


    ฟังมาแล้วทั้งหมดก็จะได้ทราบว่าเรามีกุศลจิต อกุศลจิต และวิบากจิตเมื่อไร ส่วนกิริยาจิตนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แต่ทราบว่ามีด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็มีเพียง ๒ ประเภทเท่านั้น แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือ ถ้าเราสามารถที่จะมีความมั่นใจว่าขณะนี้ที่เห็นเป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว เมื่อไรก็ตาม สถานการณ์ใดๆ ก็ตาม จะสุข จะทุกข์ จะชอบไม่ชอบอย่างไรก็ตาม ขณะใดก็ตามที่มีการเห็น ขณะนั้นเป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะรู้วิบากจิต เพราะว่าวิบากจิตคือผลของกรรมในขณะที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง ชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติก่อนก็เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าผิดจากนี้ได้ หรือไม่ ทุกขณะที่เห็นมีแล้วเพราะเคยหวังที่จะเห็น แต่ไม่รู้ว่าถ้าเราเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เราจะมีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะเหตุว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่กำลังเห็นขณะนี้ ต้องเข้าใจว่าเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ทั้งกรรมที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดีต้องเป็นผลของอกุศลกรรม ถ้าเห็นสิ่งที่ดีต้องเป็นผลของกุศลกรรม และในขณะเดียวกันก็จะรู้ด้วยว่าจะหวังอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้ก็เพียงเท่านี้ จะหวังปีใหม่ วันเกิด วันพิเศษ วันอะไรก็ตาม แต่ผลที่ได้ก็คือสิ่งที่กำลังเหมือนขณะนี้คือเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนิดเดียวแล้วก็หมดไป ไม่ต่างไปจากนี้ เพราะฉะนั้นจะหวัง หรือไม่ หวังอย่างไรก็ได้แค่นี้ คือเห็นมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยิน มีเสียงที่ปรากฏทางหู ได้กลิ่นก็มีกลิ่นที่ปรากฏ ลิ้มรสก็มีรสปรากฏ และขณะนี้กายที่กำลังกระทบสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็คือผลของความหวัง จะหวังมากสักเท่าไรสิ่งที่ได้ก็คือเท่านี้ น่าสนใจไหม สิ่งที่ได้เพียงเท่านี้เอง แต่ก็หวังต่อไปอีก ก็ได้เพียงแค่นี้อีก

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 50


    หมายเลข 6492
    18 ม.ค. 2567