แม้มีโลภะก็เจริญสติปัฏฐานระลึกรู้โลภะตามความเป็นจริงได้


    ไม่ได้ทรงแสดงไว้ถึงที่มาของเรื่องนี้ว่า เพราะเหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงโอวาทท่านพระราหุลเช่นนี้ แต่ข้อความในพระสูตรมีว่า

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์ ส่วนท่านพระราหุลอยู่ ณ ปราสาทชื่อว่า อัมพลัฏฐิกา พระผู้มีพระภาคก็ได้เสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น แล้วได้เสด็จไปหาท่านพระราหุลที่ปราสาท ที่ท่านพระราหุลอยู่ แล้วก็ทรงโอวาทท่านพระราหุลว่า

    จักไม่กล่าวมุสา แม้เพราะหัวเราะกันเล่น

    เพราะฉะนั้น คงจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้พระผู้มีพระภาคเสด็จไปหาท่านพระราหุล แล้วก็ทรงโอวาท นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงชีวิตจริงๆ ที่การเจริญสติปัฏฐานจะต้องระลึกรู้ แม้ในขณะที่หัวเราะ หรือว่าในขณะที่จิตเป็นโลภะ เป็นโทสะ เป็นโมหะตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปกั้นไว้ไม่ให้รู้ แล้วก็กลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งโดยที่ไม่รู้จักตนเองจริงๆ

    อย่างบางคนก็มีโลภะมากทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะเปลี่ยนแปลงการสะสมของบุคคลนั้นได้ไหม ในเมื่อเขาสะสมมาที่จะมีโลภะทางตามาก หรือว่าบางคนก็อาจจะมีโลภะทางหูมาก แต่ผู้นั้นก็เจริญสติปัฏฐานได้ ผู้ที่มี โลภะทางตามาก เวลาที่โลภะเกิดก็ระลึกได้ รู้ว่าลักษณะของโลภมูลจิตนั้นก็เป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ สติก็ระลึกรู้บ่อยๆ เนืองๆ ผู้นั้นก็รู้ชัดตามความเป็นจริงของตนเองว่า ตนเองเป็นผู้ที่มีโลภะทางตามาก ส่วนผู้ที่มีโลภะทางหูมาก เวลาที่โลภะเกิดขึ้น ก็ระลึกได้รู้ว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งบ่อยๆ เนืองๆ ก็รู้จักตนเองดีว่ามีโลภะทางหูมาก ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    การระลึกรู้ลักษณะของโลภะของตนเองบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่หนัก ในทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนั้น ย่อมทำให้ผู้นั้นละสมุทัยสัจจะ คือ อนุสัยกิเลสที่ยึดถือสภาพของโลภะนั้นว่าเป็นตัวตน เพราะระลึกขณะใดก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง สภาพของโลภะเกิดอีกแล้ว บ่อยๆ เนืองๆ ก็ชิน รู้ถึงเหตุปัจจัยว่า สภาพนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรม ไม่ใช่ตัวตน เมื่อสะสมมามากอย่างไร ก็มีปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็ละคลายอนุสัยที่ไม่รู้ลักษณะของโลภะ หรือว่าที่เคยยึดถือสภาพของโลภะนั้นว่าเป็นตัวตนออกได้ทีละเล็กทีละน้อย ความจริงเป็นอย่างไร สติก็จะต้องระลึกรู้อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นโลภะ ไม่ว่าจะเป็นโทสะ ไม่ว่าจะเป็นโมหะ เป็นสภาพที่จะต้องระลึกรู้ ไม่ใช่กั้นไว้ไม่ให้รู้ แล้วก็คิดว่าขณะนั้นเป็นการเจริญสติปัฏฐาน


    หมายเลข 6476
    8 ต.ค. 2566