มีทางเดียว คือ ปัญญาค่อยๆ เข้าใจ


    ผู้ฟัง ปัญหาใหญ่ก็คือความเป็นตัวตน และโลภะ เมื่อมีความเป็นตัวตนก็เกิดอยากได้ คือรู้ตาม และก็อยากรู้ตามมากๆ แต่หนทางที่จะรู้จักตัวจริง ไม่รู้จักเลย เพราะว่าจิตเกิดทีละหนึ่งขณะ และหนึ่งอารมณ์ อารมณ์ที่ต้องการมาบังหมด เพราะฉะนั้นปัญญาที่จะรู้ความจริงก็ไม่เกิด สิ่งนี้เป็นเหตุจากสักกายทิฏฐิ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ การสะสมมาที่จะเป็นบุคคลต่างๆ กัน ถ้าเป็นผู้ที่สะสมมาที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพที่มี ทุกชาติเหมือนกันหมดตามความเป็นจริง เห็นชาติก่อน ไม่เคยรู้ พอถึงเห็นชาตินี้ก็ไม่เคยรู้ เห็นชาติหน้าก็ไม่รู้อีก ไปรู้เรื่องตัวหนังสือ แต่ไม่เคยได้เข้าใจถูกต้องว่าขณะใดที่ได้ฟังธรรม ก็คือฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมดให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เช่น เวลาที่กล่าวถึงโลภะ มี หรือไม่ ระดับไหน เราไม่เคยรู้ เราคิดว่าเรามีโลภะเฉพาะเวลาที่โลภะแรงๆ เกิดขึ้น แต่ว่าจริงๆ แล้วจากการศึกษาทำให้เราเป็นผู้ที่ละเอียดขึ้น และก็รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่แต่เฉพาะโลภะแรงๆ เพราะแม้นิดเดียวก็เป็นโลภะ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็เพื่อละโลภะซึ่งเป็นสภาพที่ติดข้อง เพราะตราบที่ติดข้องในสภาพธรรมที่ปรากฏก็จะมีความเป็นเรา บางครั้งก็มีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจถูกว่า หนทางที่จะดับกิเลสต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ถ้าปัญญาไม่มีแม้แต่ในขั้นการฟัง อย่าไปคิดเรื่องที่กิเลสจะดับ แต่หลงเข้าใจผิดว่าถ้าทำอย่างนั้นทำอย่างนี้แล้วก็จะเป็นพระโสดาบันจะดับกิเลสได้โดยไม่รู้

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ เราก็จะรู้จักตัวเองว่าการฟังแต่ละครั้งของเราเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมซึ่งเข้าใจยาก แม้ว่ากำลังเผชิญหน้าก็เป็นเรื่อง ก็เป็นชื่อ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็มี และก็มีคำมาให้เข้าใจว่าสภาพธรรมนี้มีจริงๆ สามารถกระทบจักขุปสาท แล้วก็ปรากฏกับจิตที่เห็น กล่าวอย่างนี้ก็เป็นความจริง กว่าจะมีความเข้าใจ พร้อมที่จะเข้าใจในขณะที่เห็นว่าลักษณะนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมาก แต่ผู้นั้นก็ไม่ท้อถอย เพราะรู้ว่ากว่าจะได้ฟังคำจริงที่ทำให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง และก็ดำเนินหนทางที่จะรู้จักสภาพธรรมจนกระทั่งดับกิเลสได้จริงก็มีทางเดียว คือการที่ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ถ้าเราศึกษาเรื่องราว ชาติก่อนเราคงได้ฟังภาษาบาลีมามาก เพราะว่าทรงแสดงธรรมเป็นภาษามคธี แล้วเราก็เคยได้ยินได้ฟังธรรมมาในครั้งอดีตคงไม่ใช่คนไทยใช่ไหม ภาษาไทยอย่างนี้ก็ยังไม่มี แต่ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่จะได้ยินได้ฟังอีก ชาติไหน ภาษาไหน การสะสมความสนใจที่จะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสัจจธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากเกินบุคคลใดๆ ที่จะตรัสรู้สภาพธรรมพร้อมด้วยทศพลญาณ พระญาณทั้งหมดที่สามารถจะรู้ความจริงอย่างที่บุคคลอื่นไม่สามารถที่จะเทียบได้

    เช่น ในขณะนี้เราคิดถึงคำที่เราได้ฟัง และก็มีเห็น และก็มีได้ยิน มีสภาพธรรมเหมือนพร้อมกัน แต่พระปัญญาที่ทรงบำเพ็ญมาจะเกิดดับที่จะรู้สภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงเร็วกว่าเรากี่เท่าจึงสามารถทรงประจักษ์ได้จริงๆ ว่าเห็นชั่วหนึ่งขณะไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก แล้วยังมีเจตสิกอื่นซึ่งเกิดร่วมด้วยเท่าไร เพราะฉะนั้นการที่เราได้ยิน ได้ฟังแต่ละครั้ง เทียบกับพระปัญญาซึ่งคม เร็ว ลึก ชัด ประมาณไม่ได้เลย จากพระบารมีซึ่งได้สะสมมา แม้นั่งอยู่ด้วยกันกับพระภิกษุทั้งหลาย ทรงแสดงธรรม พระภิกษุฟังธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงเทศนาจบ ชาวบ้านผู้ที่ฟัง หรือพระภิกษุอนุโมทนาปลาบปลื้ม พระองค์ทรงเข้าพละสมาบัติชั่วครู่ เพราะฉะนั้นความรวดเร็วของการเกิดดับ การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน จะมากมายเท่าไร นี้ก็แสดงให้เห็นว่าปัญญามีหลายระดับ

    เพราะฉะนั้นปัญญาระดับที่เพิ่งได้ยินได้ฟัง เพิ่งค่อยๆ เห็นประโยชน์ ค่อยๆ คิด กับได้ยินได้ฟังบ่อยๆ แล้ว พอฟังอีกก็เข้าใจได้ พอสติสัมปชัญญะเกิดก็รู้ได้ว่าขณะนั้นไม่หลงลืมสติ ลักษณะของสติก็คือมีสภาพปรมัตถธรรมที่ปรากฏ ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นอนัตตาว่าลักษณะนั้นมีจริง จะใช้คำว่า “ปรมัตถธรรม” ที่ไหน เมื่อไร ก็เข้าใจ เพราะว่าสภาพธรรมที่มีจริงมีลักษณะปรากฏ แต่ต้องด้วยสติสัมปชัญญะจึงรู้ว่า นั่นเป็นธรรม มิฉะนั้นก็เป็นเราไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็ปรากฏ ก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องภาษา เรื่องคำ แต่ว่าเรื่องเข้าใจสภาพธรรมเป็นสิ่งที่จะสืบต่อจนถึงชาติต่อๆ ไปได้ ไม่ว่าจะในภาษาอะไร

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 49


    หมายเลข 6452
    18 ม.ค. 2567