โวฏฐัพพนกิจ


    เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้ว่า เมื่อสันตีรณะจิตดับเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตขณะต่อไปทำ "โวฏฐัพพนกิจ" เรียกชื่อตามกิจ คือเป็นทางที่จะทำให้กุศลจิต หรืออกุศลจิตเกิดสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะว่ารูปยังไม่ดับ เห็นก็แล้ว รับก็แล้ว พิจารณาก็แล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปก็จะเป็นกุศล หรืออกุศลในรูปที่ยังไม่ดับนั่นเอง เพราะฉะนั้น จิตที่ทำกิจนี้ไม่ใช่วิบากจิต และไม่ใช่กุศลจิต และอกุศลจิต แต่เป็นกิริยาจิต เพราะฉะนั้นเราที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็จะมีกิริยาจิต ๒ ประเภท หรือ ๒ ดวง คือปัญจทวาราวัชชนจิตทำอาวัชชนกิจ และ มโนทวาราวัชชนจิตทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร จิต ๒ ดวงนี้จะจำชื่อได้ถ้าจำทวาร ๖ ได้ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ แต่มโนทวาราวัชชนจิตซึ่งเป็นกิริยาจิต ทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร หมายความว่าเมื่อเกิดขึ้นก็เป็นจิตที่กระทำกิจเป็นทางให้กุศลจิต หรืออกุศลจิตที่ได้สั่งสมมาที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ ในขณะนั้น ซึ่งใครก็ทำไม่ได้ นอกจากสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นเมื่อสันตีรณจิตดับ จิตที่เกิดต่อเป็นจิตที่เป็นทางให้กุศลจิต และอกุศลจิตเกิดต่อ เพราะฉะนั้นจิตนี้ชื่อว่า "โวฏฐัพพนจิต" โดยศัพท์ที่แปลกันมาใช้คำว่า ตัดสินอารมณ์ เพราะว่าคงจะสั้นกระทัดรัด แต่ต้องทราบว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ผู้พิพากษา ไม่ใช่ใครที่สามารถจะเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าเมื่อจิตนี้ดับแล้ว กุศลจิต หรืออกุศลจิตที่ได้สะสมมาแล้วก็เกิดตามกาละนั้นๆ ที่จะเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น

    ขณะนี้กำลังเป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล ขึ้นอยู่กับการสะสม ไม่ใช่เพราะโวฏฐัพพนะตัดสิน แต่ว่าจิตที่เป็นกิริยาจิตที่เกิดก่อนทำกิจเป็นทางที่จะให้กุศลจิต หรือ อกุศลจิตเกิดต่อ เพราะว่า จากวิบากจิตที่จะไปสู่กุศลบ้าง อกุศลบ้าง หรือ กิริยาบ้าง ก็จะต้องมีจิตชาตินี้เกิดขึ้น กระทำกิจนี้ และหลังจากนั้น กุศลจิต หรืออกุศลจิตจึงเกิดขึ้น

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 38


    หมายเลข 6172
    18 ม.ค. 2567