อนันตรปัจจัย - กัมมปัจจัย - การเกิดดับสืบต่อของวิถีจิต


    จักขุวิญญาณเป็นอนันตรปัจจัย หรือไม่ ตอบว่า เป็นแน่นอน (เว้นแต่จุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เป็นอนันตรปัจจัย) เมื่อจักขุวิญญาณดับไปแล้วเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตต่อไปเกิด ไม่ได้ทำทัศนกิจแต่รู้อารมณ์เดียวกัน คือรับต่อเพราะว่ารูปยังไม่ดับ จิตนี้ชื่อว่า “สัมปฏิจฉันนจิต” ทำกิจรับรู้อารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณ (ถ้าเกิดทางตา) หลังจากที่จิตเห็นดับไปแล้ว จิตขณะต่อไปไม่เห็นแต่ทำสัมปฏิจฉันนกิจรับรู้อารมณ์นั้นต่อหนึ่งขณะเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดขึ้นทำสันตีรณะกิจจึงเรียกชื่อจิตขณะนั้นว่า "สันตีรณจิต" เป็นชาติวิบาก เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่กิริยาก็ต้องเป็นวิบาก เพราะฉะนั้นสัมปฏิจฉันนะก็เป็นวิบาก สันตีรณะก็เป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยให้สัมปฏิจฉันนะเกิด สันตีรณะเกิด แสดงว่าเมื่อกรรมให้ผล เราจะรู้จักจิตที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามี ขณะนี้ทุกคนก็เพียงรู้ว่าเห็นมี แต่จะไม่รู้ว่า มีปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน มีสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะเกิดต่อ เพราะฉะนั้นจะมีจิตซึ่งมีก็ไม่รู้ จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อทำทัศนกิจ หรือทำกิจเห็น กิจได้ยิน เป็นต้น เมื่อสันตีรณจิตเกิดทำสันตีรณะกิจ แปลว่า “พิจารณา” ไม่ได้ทำทัศนกิจ ไม่ได้ทำสัมปฏิจฉันนกิจ แต่ทำสันตีรณกิจ พิจารณา คือรู้ในอารมณ์นั้นต่อเท่านั้นแล้วก็ดับไป ต่อไปก็เป็นโวฏฐัพพนะ ชวนะ และ ตทาลัมพนะ ก็เท่านี้เอง ต่อไปนี้จะไม่ยากเลย ความยากอยู่ตรงที่ ชื่อก็ใหม่ กิจก็เป็นกิจซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีจิตประเภทนี้เกิดแต่ก็มีก่อนกุศลจิต และ อกุศลจิตจะเกิด นี่แสดงให้เห็นว่ากรรมทำให้จิตต้องเห็น และวิบากจิตอื่นๆ เกิดสืบต่อ แต่จะหยุดอยู่เพียงเท่านั้นไม่ได้เลย เพราะว่าเห็นแล้วจะต้องมีความรู้สึก หรือความชอบ หรือไม่ชอบ ที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ถ้าเป็นกุศลก็เป็นเรื่องของกุศล แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ต้องเป็นโลภะ หรือโทสะ ถ้าเป็นโลภะก็ชอบติดข้อง ถ้าเป็นโทสะก็ไม่ชอบ ถ้าเป็นโมหะก็คือไม่รู้ นี่คือความละเอียดของจิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ได้เกิดแล้วเป็นเช่นนี้ทุกชาติๆ แล้วก็เป็นอนัตตา

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 38


    หมายเลข 6171
    18 ม.ค. 2567