ความอัศจรรย์ของนามและรูปที่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน


    ท่านผู้ฟังจะเห็นความน่าอัศจรรย์ของการที่สภาพธรรมปรากฏครั้งหนึ่งๆในชีวิตได้   เพราะเหตุว่าถ้าย่อเหตุการณ์ต่าง  ๆ  ในชีวิตลงอย่างละเอียดที่สุดแล้ว   ก็จะปรากฏว่า   มีการเกิดขึ้นของจิตที่กำลังรู้อารมณ์หนึ่งเพียงขณะเดียว ๆ   จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ขณะหนึ่งแล้วก็ดับไป   จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ขณะหนึ่งแล้วก็ดับไป แต่ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้  จะปรากฏเหมือนกับเป็นเหตุการณ์ยาวนานสำคัญเหลือเกิน   แต่ถ้าย่อ   หรือตัดลงมาแล้ว   จะเหลือเพียงการเกิดขึ้นรู้อารมณ์ของจิตแต่ละขณะเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นบางท่านกล่าวว่า   รูปซึ่งเป็นที่อาศัยเกิดของจิต จะแตกกระจัดกระจายลง   ในขณะใดได้ทั้งหมด   คือ  ความตาย   ง่ายที่สุด   เพราะเหตุว่าเพียงไม่รักษา   ไม่ทะนุถนอมรูปนี้ไว้อย่างดี   รูปนี้ก็คงจะต้องไม่สามารถจะเป็นปัจจัยเป็นที่อาศัยให้เกิดจิตได้   เพราะเหตุว่า  รูปนี้บอบบางและอันตรายมาก   เพียงถูกมีดนิดเดียวเลือดก็ไหล   กระทบอะไรหน่อยก็พร้อมที่จะแตกย่อยไปได้ทั้งนั้น   

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า   รูปนี้ไม่ยั่งยืน   ความตายเป็นสิ่งซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว   และเมื่อไรก็ได้   แต่การที่จะมีชีวิตเป็นอยู่ต่อไปโดยที่ยังไม่ตาย ที่น่าอัศจรรย์ว่า มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้การประจวบกันของปัจจัยต่าง ๆ  ของนามธรรมและรูปธรรมที่จะสัมพันธ์และเป็นปัจจัยกันให้สภาพธรรมปรากฏแต่ละขณะ   

    เพราะเหตุว่ากรรมเป็นสมุฏฐานให้เกิดจักขุปสาท  ไม่มีใครสามารถจะสร้างจักขุปสาทรูปได้   เพราะเหตุว่าจักขุปสาทรูปเป็นรูปซึ่งใสสามารถรับกระทบเฉพาะสี  คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา   ไม่ใช่สีสันวัณณะ   แต่เป็นคุณลักษณะ   เป็นสภาพของรูป   ซึ่งกรรมทำให้สามารถรับกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาได้

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า   กรรมทำให้จักขุปสาทเกิด – ดับ ๑๗ ขณะ   เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้ว ๑๗ ขณะก็ดับไป   อาจจะยังไม่มีการเห็นเลย   เพราะฉะนั้นในขณะนี้   ถ้าขณะที่กำลังได้ยินเสียง   จักขุปสาทซึ่งเกิด   พอ ๑๗ ขณะของจิตก็ดับโดยที่ไม่ได้กระทำกิจการงาน   ไม่ปรากฏว่าเป็นที่เกิดของการเห็น   หรือว่าไม่ปรากฏให้รู้ว่ามีรูปนั้นเลย   เมื่อไม่ปรากฏ   จึงไม่รู้ว่าเป็นรูปนั้น   แต่ถึงจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม   รูปซึ่งมีสมุฏฐานเกิดก็เกิดตามอายุ   แล้วก็ดับไป   

    เพราะฉะนั้นการประจวบกันของแต่ละขณะอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เพราะเหตุว่าจักขุปสาท   หรือโสตปสาท  หรือฆานปสาท   หรือชิวหาปสาท   หรือกายปสาท   หรือหทยวัตถุ   ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต   มีอายุเพียงแต่จิตเกิด – ดับ ๑๗ ขณะ

    รูปารมณ์   คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา   สัททารมณ์   เสียงสิ่งที่ปรากฏทางหู   คันธารมณ์   กลิ่นสิ่งที่ปรากฏทางจมูก   รสารมณ์   รสสิ่งที่ปรากฏทางลิ้น   โผฏฐัพพารมณ์  สิ่งที่ปรากฏกระทบทางกาย ก็มีอายุ ๑๗ ขณะเหมือนกัน   แต่ว่าทั้งจักขุปสาทก็ดีและรูปารมณ์ก็ดี   ซึ่งต่างก็มีอายุ ๑๗ ขณะ   จะต้องเกิดและเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการเห็นเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพียงไร   เพราะเหตุว่าจักขุปสาทที่เกิดต้องยังไม่ดับ  คือ ยังไม่ถึง ๑๗ ขณะ   รูปารมณ์ที่เกิดต้องยังไม่ถึง ๑๗ ขณะ ยังไม่ดับ   จึงจะเป็นปัจจัยซึ่งกระทบกันและทำให้ภวังคจิตไหว  เป็นภวังคจลนะ ๑ ขณะ   เป็นขณะที่ ๒ ของรูปทั้งสอง  แล้วภวังคุปัจเฉทะเป็นขณะที่ ๓ ของรูปทั้งสอง  เมื่อภวังคุปัจเฉทจิตดับแล้ว   เป็นปัจจัยให้ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น   ทั้งสองรูปยังไม่ดับ  คือ  จักขุปสาทและรูปารมณ์ยังไม่ดับ

    เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับแล้ว   เป็นปัจจัยให้วิถีจิตที่ ๑   เพราะเหตุว่าภวังคจิตทั้งหมดไม่ใช่วิถีจิต   จิตใดก็ตามที่ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต  ภวังคจิต  และจุติจิต   จิตนั้นเป็นวิถีจิต

    เพราะฉะนั้นภวังคจลนะไม่ใช่วิถีจิต  ภวังคุปัจเฉทะไม่ใช่วิถีจิต

    ปัญจทวาราวัชชนะเป็นวิถีจิตที่ ๑ ดับไป  จักขุวิญญาณจิตซึ่งเกิดต่อเป็นวิถีจิตที่ ๒   ดับไป

    สัมปฏิจฉนจิตเป็นวิถีจิตที่ ๓  สันตีรณจิตเป็นวิถีจิตที่ ๔  โวฏฐัพพนจิตเป็นวิถีจิตที่ ๕  ชวนจิตอีก ๗ ขณะเป็นวิถีจิตที่ ๖  และตทาลัมพนจิต ๒ ขณะเป็นวิถีจิตที่ ๗

    อายุของรูป ๑๗ ขณะ จึงดับพร้อมกับตทาลัมพนจิต ๒ ขณะ  ทั้งจักขุปสาทและรูปารมณ์   

    นี่คือการเป็นปัจจัยอย่างรวดเร็วของนามธรรมและรูปธรรม  น่าอัศจรรย์ไหม ?   แต่ละขณะที่จะเห็นได้   ได้ยินได้   ได้กลิ่นได้   ลิ้มรสได้   รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสได้

    การที่รูปธรรมและนามธรรมเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็ว   เป็นความน่าอัศจรรย์   เพราะเหตุว่ารูปมีอายุเพียง ๑๗ ขณะ  ซึ่งก็นับว่าสั้นมาก  และนามธรรมก็เกิด – ดับเร็วกว่ารูปนั้นอีก   แต่ก็ยังสามารถที่นามธรรมและรูปธรรมจะเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน   โดยรูปธรรมที่เป็นปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย   เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดก่อนนามธรรม   แต่เวลาที่นามธรรมเป็นปัจจัยแก่รูปธรรม  เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย  เป็นปัจจัยโดยการเกิดภายหลัง  ซึ่งก็จะได้กล่าวถึงต่อไป   


    หมายเลข 5330
    27 ส.ค. 2558