พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยสัมปทา ๓


    ผู้ฟัง .   สำหรับเรื่องเกี่ยวกับการ ตะกี้นี้ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องการกราบพระ ถ้าหากว่าเป็นสมัยก่อนนี้ ก็ การกราบพระครั้ง ๑ ก็ถึงจะมีกุศลจิตเกิดครั้ง๑ เมื่อดิฉันได้ฟังอาจารย์บรรยายแล้ว แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามที่อาจารย์บรรยายทุกประการ ก็ทำให้รู้สึกว่า ความซาบซึ่งในพระมหากรุณคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นสมบูรณ์ทุกประการ คะ แต่ก่อนนี้ก็รู้เหมือนกันคะ เคยได้ยินว่าพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ แต่ก็รู้แต่เพียงชื่อเท่านั้นเอง ส่วนลักษณะของพระคุณที่แท้จริงนั้น ถ้าหากว่ายังไม่ได้เจริญสติ จนกระทั่งสามารถที่จะ พึ่งพระธรรม พอที่จะปกป้องความเดือดร้อนได้เป็นบางครั้ง บางคราวแล้ว ก็เห็นจะมียากคะ เข้าใจยากด้วยคะ แต่ว่าถ้าหากว่าเจริญสติมานาน พอสมควรแล้ว คำว่า พุทธคุณ พระมหากรุณาคุณ ซาบซึ้งทีเดียวคะ อันนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง

    ส.   ก็ขออนุโมทนา  แล้วก็ขอกล่าวถึงผลของการบำเพ็ญบารมี ของพระผู้มีพระภาค ด้วย ซึ่งเมื่อเหตุคือการบำเพ็ญพระบารมี ถึงพร้อมแล้ว ก็เป็นเหตุให้พระองค์ได้ รับผล สัมปทา พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึงพร้อมด้วย สัมปทา ๓ คือ ๑ เหตุสัมปทา ๒ พลสัมปทา ๓ สัตตรูปการสัมปทา สำหรับเหตุสัมปทาก็คือ การถึงพร้อมด้วยเหตุคือพระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญ  ๔ สองไขยแสนกัปป ทำให้ทรงบรรลุพละ หรือผล สัมปทา ๔ คือ ๑ ญาณสัมปทา ซึ่งเป็นการถึงพร้อมด้วย มรรคญาณ อันเป็นที่ตั้งแห่งพระสัพพัญญุตญาณ และพระทศพลญาณ และพระเวสารัชชญาณ และพระญาณทั้งหมด ซึ่งสมบูรณ์พร้อม ในพรองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะเหตุว่าได้ทรงบำเพ็ญ พระบารมี ถึงการที่จะได้บรรลุคุณธรรม เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบรรลุคุณธรรม เป็นเพียง พระอริยสาวก มรรคจิตเกิดขึ้น ดับกิเลสตามลำดับขั้นของมรรคจิต แต่ว่ามรรคจิตนั้น ไม่เป็นที่ตั้งของ สัพพัญญุติญาณ หรือญาณอื่นๆ ซึ่งเป็นญาณพิเศษเฉพาะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สำหรับพระผู้มีพระภาค นั้น ทรงบรรลุ  พละ คือผลสัมปทาที่ ๑ คือญาณสัมปทา ได้แก่มรรคญาณอันเป็นที่ตั้ง แห่งพระสัพพัญญุตญาณ  และพระญาณอื่นๆ เฉพาะพระองค์  ๒ ปหานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการละกิเลส พร้อมทั้งวาสนาๆ หมายความถึง ความเคยชิน ที่เคยประพฤติปฏิบัติ มา อกุศลเป็นส่วน ๑ ซึ่ง มรรคจิตดับเป็น สมุจเฉท  ตามลำดับขั้นว่า ผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็น พระอริยเจ้า คือพระโสดาบันบุคคล ประหานกิเลส คือละกิเลสอะไรบ้างเป็นสมุจเฉท พระสกทาคามีละกิเลสอะไรบ้าง พระอนาคามีละกิเลสอะไรบ้าง และแม้พระอรหันต์นี่คะ ก็ดับกิเลสทั้งหมดเป็นสมุจเฉท แต่ว่า ละวาสนาคือการประพฤติที่เคยชิน ที่เคยอบรมเป็นนิสัยมา ในสังสารวัฏฏที่ยาวนานนั้นไม่ได้ แต่สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ทรงถึงพร้อมด้วยปหานสัมปทา คือทรงถึงพร้อมด้วยการละกิเลส พร้อมทั้งวาสนา  อากัปกิริยา อาการ ท่าทาง ซึ่งไม่เป็นที่เหมาะที่ควรใดๆ ทั้งสิ้น ที่เคยมีมา ประพฤติมา ปฏิบัติมา ในอดีต เมื่อถึงความเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงละได้ โดยเด็ดขาด ไม่เหมือนกับบุคคลอื่นซึ่งเพียงแต่ ดับกิเลสเป้นสมุจเฉท แต่ว่าละวาสนาไม่ได้ ถ้าศึกษาในพระไตรปิฎก และอรรถกถาโดยละเอียด จะยิ่งเพิ่มความปีติ เลื่อมใส ในการประพฤติปฏิบัติ ของพระผู้มีพระภาค ว่า ไม่มีบุคคคลใดเปรียบได้ การยืน การเดิน การรับบิณฑบาต ทุกอย่างคะ ซึ่งท่านผู้ฟังก็คงจะศึกษาได้ จากพระไตรปิฎก พลสัมปทาที่ ๓ คือ อานุภาวะสัมปทา คือถึงพร้อมในความเป็นใหญ่ ในการให้สำเร็จได้ ตามที่ปรารถนา ไม่ว่าจะทรงกระทำอิทธิปาฏิหารย์ ใดๆ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ย่อมสามารถจะกระทำให้สำเร็จได้ พลสัมปทาที่ ๔ คือ รูปกายสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยพระรูปสมบัติ อันประกอบด้วยพระมหาปุริสลักษณะ และอนุพยัญชนะ อันเป็น ที่เจริญตา เจริญใจของ ชาวโลกทั้งมาล สำหรับ สัมปทาที่ ๓ คือ สัตรูปการะสัมปทา เป็นการถึงพร้อมด้วยพระอัธยาศัย และพระอุตสาห ที่จะอุปการะแก่สัตว์โลกเป็นนิจ แม้ในเหล่าสัตว์ ผู้มีความผิด เช่น ท่านพระเทวทัต เป็นต้น กับทั้งทรงรอเวลาแก่กล้า แห่งอินทรีย์ของเวนัยสัตว์  ผู้มีปัญญินทรีย์ยังไม่แก่กล้า และทรงแสดงพระธรรมอันจะนำสัตว์ออกจากทุกข์ทั้งปวงโดยที่ไม่ได้ทรงเพ่งลาภสัการะเป็นต้น  จะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาที่ยังไม่ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน ทรงถึงพร้อมด้วยพระอัธยาศัย และพระอุตสาหที่จะอุปการะ แก่สัตว์โลกเป็นนิจ ทุกวันไม่เว้น แม้ในเหล่าสัตว์ผู้มีความผิด แล้วก็ทรงมีความอดทนที่จะรอเวลาที่ แก่กล้าแห่งอินทรีย์ ของผู้ที่ยังไม่ได้อบรมปัญญามา ถึงความแก่กล้า แต่ก็ทรงอุตสาห ที่จะรอเวลานั้นที่ จะเกื้อกูลอนุเคราะห์บุคคลนั้น ให้สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ซึ่งก็จะขอกล่าวถึงตั้งแต่วาระที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ว่าได้ทรงถึงพร้อมด้วย  สัตตูปการสัมปทา


    หมายเลข 4978
    19 ส.ค. 2558