ธาตุ ๖ แดนสัมผัส ๖ ความหน่วงนึกของใจ ๑๘


    พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

    ดูกร ภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖ มีแดนสัมผัส ๖ มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘ มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลส เครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมเป็นไป ก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันติเท่านั้น นี้อุเทศแห่งธาตุวิภังค์ ๖ ฯ

    ธาตุมนสิการบรรพในมหาสติปัฏฐานทรงแสดงไว้ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ผู้ที่เจริญสติไม่ใช่รู้เพียง ๔ คือ ไม่ใช่รู้แต่เพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แล้วจะบรรลุอริยสัจธรรม ถึงแม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะได้ทรงแสดงธาตุ ๔ แต่จะต้องแสดงถึงธรรมอื่นที่เกื้อกูลให้ท่านผู้ฟังได้เข้าใจชัดเจน ได้เจริญสติ ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมด้วย

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

    ดูกรภิกษุ ธาตุนี้มี ๖ อย่าง คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖ นั่น เราอาศัยธาตุดังนี้กล่าวแล้ว ฯ

    ถ้าไม่มีวิญญาณธาตุก็ไม่สามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือ ธรรมชาติที่รู้ กับ ธรรมชาติที่ไม่ใช่สภาพรู้

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีแดนสัมผัส ๖ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน เป็นแดนสัมผัส ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกร ภิกษุ คนเรานี้มีแดนสัมผัส ๖ นั่น เราอาศัยอายตนะดังนี้กล่าวแล้ว ฯ

    ถ้าผู้ใดเจริญสติปัฏฐานโดยเพียงอ่านมหาสติปัฏฐานสูตร แต่ไม่รู้ชัดโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะเรียกว่าเป็นปัญญาได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงธาตุ ๖ แต่ยังต้องมีแดนสัมผัส ๖ คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน อย่าอ่านมหาสติปัฏฐานแล้วจงใจเจริญบรรพนั้น บรรพนี้ โดยที่ไม่เข้าใจความมุ่งหมายของการเจริญสติปัฏฐาน ว่า เพื่อให้ปัญญารู้ชัดโลกทั้ง ๖ โลกตามความเป็นจริง แล้วละการหลงผิดที่เคยเข้าใจผิดยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน แต่ขอให้ทราบว่า ท่านพระปุกกุสาติท่านฟังอยู่ตลอดเวลา และก็เข้าใจตามนั้นด้วย

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกร ภิกษุ คนเรานี้มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ บุคคลเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมหน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส หน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส หน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา ฟังเสียงด้วยโสตแล้ว ... ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ... ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ... รู้ธรรมารมณ์ด้วยมโนแล้ว ย่อมหน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส หน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส หน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา นี้เป็นการหน่วงนึกโสมนัส ๖ หน่วงนึกโทมนัส ๖ หน่วงนึกอุเบกขา ๖ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกร ภิกษุ คนเรานี้มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘ นั่น เราอาศัยความหน่วงนึกดังนี้กล่าวแล้ว ฯ


    หมายเลข 4856
    24 ก.ย. 2566