อบรมกุศลให้เป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัยให้ถึงนิพพาน
มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมคะ ในเรื่องของอารัมมณาธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสติสามารถจะระลึกรู้ถึงปัจจัยทั้งหลายซึ่งกำลังเกิดขั้นเป็นไปของแต่ละบุคคล แม้แต่เห-ตุปัจจัย หรืออารัมมณาปัจจัย หรืออธิติปัจจัย อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย อุนิสสยปัจจัย มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหม ทรงเกียรติ อาจารย์กล่าวว่า การที่จะอบรมให้สภาพของนิพพานเป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ก็ในเมื่อสภาพของนิพพานเรายังไม่ประจักษ์ ในสิ่งที่เรายังไม่ประจักษ์ เราจะอบรมอย่างไร
ท่านอาจารย์ มหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิดขึ้น พิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป รู้ว่าเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับลักษณะของนิพพาน
เพราะฉะนั้นจะขาดการศึกษาไม่ได้ จะขาดการอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ เพราะกุศลก็มี แม้ที่เป็นญาณวิปปยุตต์ ไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นอย่าพึงพอใจเพียงมีกุศลญาณวิปปยุตต์ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้อบรมเจริญมหากุศลญาณสัมปยุตต์เพิ่มขึ้น ก็ไม่มีวันที่จะประจักษ์ลักษณะของนิพพานได้ แม้ว่านิพพานเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ในขณะที่ท่านผู้ฟังมีฉันทะบ้าง หรือมีวิริยะบ้าง ที่สนใจศึกษาพระธรรม นี่เป็นการเริ่มแล้วใช่ไหมคะ สำหรับอารัมมณูปนิสสยปัจจัยที่ถูก เพราะเหตุว่าต้องศึกษาให้เกิดความรู้ก่อน ถ้าไม่มีมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ที่จะรู้เรื่องของนามธรรมและรูปธรรม และการอบรมเจริญสติปัฏฐานจริง ๆ ก็ไม่มีทางที่นิพพานจะเป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัยได้ เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจ ไม่รู้ลักษณะของนิพพาน ไม่รู้ลักษณะของสติ ไม่รู้ลักษณะของปัญญา ไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ไม่รู้ลักษณะสภาพที่เป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม ก็ต้องเป็นตัวตน
แต่ขณะใดก็ตาม ถ้าโทสะเกิดขึ้น สติระลึกจะรู้ได้ว่า เป็นสภาพธรรมซึ่งจะต้องเป็นไปตามลักษณะของโทสะ เพราะเหตุว่าโทสเจตสิกเกิดแล้ว ที่จะให้จิตเป็นอื่นนอกจากโทสมูลจิต เป็นไปไม่ได้ ที่จะให้รูปซึ่งเกิดเพราะโทสมูลจิตเปลี่ยนสภาพเป็นรูปอื่นก็ไม่ได้ ลักษณะของรูปต้องหยาบกระด้าง หรือว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นอนิฏฐารมณ์ ไม่มีใครพอใจลักษณะอาการซึ่งเกิดจากโทสมูลจิต เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาอย่างนี้ จะไปทำอย่างอื่น จะเห็นเห-ตุปัจจัยไหมคะ หรือแม้แต่สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร อกุศลเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่รู้ กุศลเกิดขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่มีตัวตนซึ่งจะพยายามไปเปลี่ยนแปลง หรือจะไปดับอกุศลโดยไม่รู้ปัจจัยทั้งหลายเลย ก็ไม่สามารถที่จะเป็นไปได้
ทรงเกียรติ ก็หมายความว่า ถ้าเราศึกษาสภาพของนิพพาน รู้ว่า นิพพานนี้มีสภาพดับกิเลส ดับตัณหา ดับสังขารทั้งหลาย ในเมื่อศึกษาอย่างนี้ รู้อย่างนี้ ก็ชื่อว่ารู้นิพพานแล้วใช่ไหมครับ ?
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นกุศลจิตก็เป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัย เพราะเหตุว่าทำให้ใฝ่ใจแสวงหา อบรมเจริญกุศล ซึ่งเรื่องของกุศลจิตที่จะเกิด ท่านผู้ฟังลองพิจารณาซิว่ายากไหม ? มีการสั่งสอนเรื่องศีลธรรมมากมายประการต่าง ๆ แต่ว่าในวันหนึ่ง ๆ อกุศลจิต โลภมูลจิตก็ยังเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยและเป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัย
เพราะฉะนั้นกว่ากุศลประเภทหนึ่งประเภทใดจะเกิด ลักษณะของกุศลซึ่งโดยสภาพของกุศลแล้วเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย แต่ว่าใครจะเห็นคุณค่า หรือใครจะเห็นประโยชน์ หรือใครจะเห็นว่าเป็นสิ่งซึ่งควรจะเป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัย คือ หมายความว่าเป็นสภาพธรรมที่ควรจะเจริญหรืออบรม แม้กุศลญาณวิปปยุตต์ ยิ่งเป็นกุศลญาณสัมปยุตต์ ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย จนกว่าจะถึงโลกุตตรกุศล ซึ่งนิพพานในขณะนั้นจะเป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัย เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของโลกุตตรกุศล
ต้องค่อย ๆ พากเพียรไป แล้วเห็นประโยชน์ของอารัมมณาธิปติปัจจัยที่เป็นฝ่ายกุศล โดยรู้ว่า อารัมมณาธิปติปัจจัยนั้น มีทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นกุศลก็มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ควรที่จะสะสมอบรมอารัมมณาธิปติปัจจัย โดยเป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัยทางฝ่ายกุศล เพราะเหตุว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จะไปฝืนบังคับยังไงก็ไม่ได้ ที่จะให้หมดโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ นอกจากปัญญาจะอบรมเจริญขึ้น