อลคัททูปมสูตร


    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวว่า การเจริญสตินี้ อะไรๆ ก็เป็นอารมณ์ได้ ไม่ว่าจะขับรถยนต์ หรือจะประกอบอาหาร หรือจะทำไร่ไถนา อะไรก็ตาม ก็เป็นอารมณ์แห่งสติปัฏฐานได้ทั้งนั้น บางคนก็เลยกล่าวว่า การเจริญอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน กำลังฆ่าสัตว์อยู่ ก็เจริญสติปัฏฐานแล้วก็ฆ่าสัตว์กันต่อไป หรือกำลังลักทรัพย์ ก็เจริญสติปัฏฐานได้แล้วก็ลักทรัพย์นั้นต่อไป หรือกำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่ กำลังสนุกสนานรื่นเริงกันอยู่ ก็เจริญสติปัฏฐานได้ แล้วก็ทำกิจกรรมนั้นต่อไป หรือกำลังเสพเมถุนอยู่ ก็เจริญสติปัฏฐานได้เหมือนกัน เขาว่าอย่างนี้ ดูอย่างนางวิสาขา เป็นถึงโสดาบันยังเจริญ สติปัฏฐานจนมีลูกมากมาย เขาว่ากันอย่างนี้ ขอท่านอาจารย์ช่วยคลี่คลายด้วย

    ท่านอาจารย์ เรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องที่ประพฤติปฏิบัติได้ทั้งบรรพชิตและฆราวาส แล้วแต่เพศ แล้วแต่การสะสม ซึ่งแต่ละบุคคลสะสมมาไม่เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ใดใคร่ที่เจริญสติปัฏฐานในเพศของบรรพชิต ท่านก็ละอาคารบ้านเรือน ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานตามเพศของท่าน ซึ่งท่านจะมีความประพฤติปฏิบัติอย่างเพศฆราวาสไม่ได้ ที่จะทำกิจอย่างที่ฆราวาสกระทำโดยที่ไม่สมควรแก่สมณะก็ไม่ได้ เพราะท่านมีอัธยาศัยที่สะสมมาที่จะเจริญสติปัฏฐานในเพศของบรรพชิต

    เพราะฉะนั้น ถ้าพระภิกษุรูปใดมีความเข้าใจผิด คิดว่า ท่านกระทำอย่างฆราวาสได้ ท่านผู้นั้นก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมตามความเป็นจริง เพราะว่าท่านไม่ได้ระลึกรู้สภาพธรรมที่เกิดกับท่าน ที่ทำให้ท่านประพฤติปฏิบัติในเพศของบรรพชิต แต่ถ้าท่านจะกระทำอย่างฆราวาส หมายความว่าเพศของท่านคือฆราวาส ซึ่งเปรียบกันไม่ได้เลย ดังตัวอย่างใน อลคัททูปมสูตร ซึ่งท่านอริฏฐภิกขุมีความเห็นผิดว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่เป็นอิฏฐารมณ์ ที่น่าพอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย บรรพชิตก็เสพได้ คือ ตาก็ยังเห็นรูปที่ดี หูก็ยังได้กระทบเสียงที่ดี จมูกก็ยังได้กลิ่นที่ดี ลิ้นก็ยังได้รสอาหารที่ดี โผฏฐัพพะก็ได้จีวรเป็นต้นที่ดี เพราะฉะนั้น อริฏฐภิกขุมีความเห็นว่า แม้การเสพกามโดยวิสัยของฆราวาสนั้นบรรพชิตก็เสพได้ นี่เป็นความเข้าใจผิด ที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยนั้น สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติได้ทั้งฆราวาสและบรรพชิต แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมของแต่ละบุคคล แต่ละเพศตามความเป็นจริง ถ้าเป็นเพศบรรพชิต ก็เจริญสติปัฏฐานโดยบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัดในเพศของบรรพชิต แต่ถ้าเป็นฆราวาส ไม่ใช่เพศบรรพชิต เพราะไม่ได้สะสมอุปนิสัยปัจจัยที่จะละอาคารบ้านเรือนเป็นเพศบรรพชิต ก็ต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญ สติปัฏฐาน และต้องเป็นผู้ที่เข้าใจลักษณะของสติ โดยเฉพาะสติปัฏฐานว่า เป็นการเจริญมรรคมีองค์ ๘ และในมรรคมีองค์ ๘ นั้น มีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ในขณะที่สติเกิดขึ้นระลึก คือ ไม่หลงลืมไป แต่รู้ที่ลักษณะที่เป็นสภาพของนามธรรม หรือสภาพของรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ในขณะนั้น สังวรจากทุจริต ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ

    ในขณะที่โลภมูลจิตเกิดขึ้น มีใครบ้างที่จะยับยั้งไม่ให้โลภมูลจิตเกิด ในเมื่อยังไม่ใช่เป็นผู้ที่หมดโลภมูลจิต ยังไม่ได้เป็นผู้ที่ดับโลภมูลจิตเป็นสมุจเฉท ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานรู้ถึงปัจจัยว่า ที่โลภมูลจิตเกิดขึ้นนั้นเพราะมีเหตุปัจจัย คือ การเห็นสิ่งที่ดี น้อมนึกถึงสภาพที่น่ายินดีของอารมณ์ที่กำลังเห็น ทำให้เกิดความยินดี ความพอใจขึ้น แม้ความยินดี ความพอใจนั้น ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ซึ่งในขณะที่สติกำลังสังวร ระลึก ไม่หลงลืม จึงรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่เป็นโลภมูลจิต ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และในขณะนั้น ก็เป็นการสังวรจากทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 258]

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ลักษณะของสติ รู้ได้ว่า ในขณะนั้นเป็นผู้ที่กำลังรู้ในสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ขณะที่กำลังฆ่าสัตว์ เป็นตัวตนหรือเปล่า ไม่มีตัวตนจะฆ่าได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะกล่าวได้อย่างไรว่า ผู้ที่กำลังฆ่าสัตว์ ขณะนั้นสติระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม

    ด้วยเหตุนี้ การเจริญสติปัฏฐานจึงมีทั้งศีล สมาธิ และปัญญา ในมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่ว่าจะขาดศีลไป ศีลก็มี การที่สติสังวร ระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมโดยไม่กระทำทุจริตกรรม เป็นผู้ที่มีศีล ๕

    สำหรับผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลจะไม่ล่วงศีล ๕ เลย ถ้าเป็นคฤหัสถ์ ไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์ ไม่มีเจตนาที่จะถือเอาวัตถุที่บุคคลอื่นไม่ได้ให้ ไม่มีเจตนาที่จะประพฤติผิดในกาม ไม่มีเจตนาที่จะกล่าวมุสา ไม่มีเจตนาที่จะดื่มสุราเมรัย ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้หลงลืมสติ นี่คือคุณธรรมของผู้ที่เป็นพระโสดาบัน

    และก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน ที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็ในขณะที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้กล่าวมุสา ไม่ได้มีเจตนาที่จะดื่มสุราเมรัย เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจเรื่องลักษณะของสติยังไม่ถูกต้อง ขอให้ทราบว่า ในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ นั้น การสังวร ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ในขณะนั้นจะทำให้ละทุจริตกรรม หรือละการที่จะประพฤติผิดในศีล ๕ ด้วย

    มีกล่าวไว้ไหมว่า ผู้ที่รักษาศีล ๕ เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ไม่มี และผู้ที่จะสมบูรณ์ด้วยศีล ๕ นั้น คือ ผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ในการเจริญสติปัฏฐาน การสังวร คือ การระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะไม่ทำให้บุคคลนั้นประพฤติทุจริตล่วงศีล ๕ ในขณะที่กำลังระลึกรู้สภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม

    แต่วันหนึ่งๆ ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมมากไหม และขณะที่เผลอไป เป็นทุจริตไปเสียแล้ว คือ ขณะที่เผลอ ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ข้อสำคัญที่สุด คือ จะต้องรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรม โดยละเอียด โดยทั่ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าเว้น ไม่ระลึก ไม่รู้ ไม่เจริญ ไม่อบรม จะละคลายการที่เคยยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้อย่างไร ถ้าขณะที่ประกอบกิจการงาน กลัว ไม่กล้า ที่จะให้สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น การกลัว การไม่กล้านั้น เป็นอวิชชา เป็นอกุศล หรือว่าเป็นปัญญา ซึ่งถ้าไม่ใช่การกระทำทุจริตแล้ว ขณะนั้นสติสามารถที่จะระลึกรู้สภาพของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติตามความเป็นจริง เพื่อที่จะละความเป็นตัวตนได้ แต่ขณะที่กระทำทุจริตกรรม ขณะนั้นถูกครอบงำ ย่ำยี ท่วมท้นด้วยอกุศลธรรมแล้ว จึงสามารถกระทำทุจริตกรรมนั้นจนสำเร็จลงไปได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 259]


    หมายเลข 4573
    14 ต.ค. 2568