อะไรบ้างเป็นธรรม


    ส.   เวลาได้ยินว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” กรุณาตอบว่า อะไรบ้างเป็นธรรม ถ้าใช้คำรวมว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกอย่าง แต่ละอย่างคืออะไร เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า เราเข้าใจแล้ว เชิญค่ะ

    ตอบ   กำลังนั่งก็เป็นธรรม ใช่ไหมคะ

    ส.   มีลักษณะแต่ละอย่างค่ะ ถ้าจะกล่าวถึง ตัองชัดเจนและเจาะจง ไม่เลื่อนลอย เพราะฉะนั้น อะไรบ้างที่เป็นธรรม

    ตอบ   เห็น

    ส.   เห็นเป็นธรรม

    ตอบ   ได้กลิ่น ตอนนี้กำลังอมยา มีรส

    ส.    รสเป็นธรรม ถ้าทุกอย่างเป็นธรรม เราตอบได้หมดเลย แต่ต้องมีลักษณะ เพราะฉะนั้น อะไรอีกคะ

    ตอบ   แข็ง

    ส.   แข็งเป็นธรรม

    ตอบ   เย็น

    ส.   เย็นเป็นธรรม

    ตอบ   ร้อน

    ส.   เป็นธรรม

    ตอบ   อ่อน

    ส.   เป็นธรรม ก็ดีค่ะ ทุกคนจะได้ทราบว่าไม่ลืมอะไร ถึงลืมก็เป็นธรรม

    ตอบ   ไหว

    ส.   ไหวเป็นธรรม

    ตอบ   คิด

    ส.   คิดเป็นธรรม

    ตอบ   กำลังมีความสุข

    ส.   สุขเป็นธรรม ทุกข์เป็นธรรม เฉยๆ เป็นธรรม ดีใจเป็นธรรม กรรมเป็นธรรม

    ตอบ   ทุกอย่างเป็นธรรม

    ส.   ก็บอกมาเลยให้ครบถ้วนในวันหนึ่งๆ ดีกับเรา จะได้แน่ใจ ไม่ได้เว้น เป็นธรรม

    ตอบ   โศกเศร้าเสียใจ

    ส.   เป็นธรรม

    ตอบ   อิ่มก็เป็นธรรม

    ส.   หิว

    ตอบ   หิวก็เป็นธรรม

    ส.   อยากได้

    ตอบ   ก็เป็นธรรม

    ส.   โกรธ ไม่ชอบก็เป็นธรรม อะไรอีก

    ตอบ   หลับ

    ส.   หลับก็เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ อะไรที่จริงแล้วจะพ้นธรรมไม่ได้เลย

    ตอบ   นอนไม่หลับ

    ส.   ก็เป็นธรรม ไม่หลับก็เป็นธรรม หลับก็เป็นธรรม

    ตอบ   อิจฉา

    ส.   มีจริงไหมคะ เป็นธรรม ตระหนี่เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีในขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมดเลย ธรรมแยกประเภทใหญ่ๆ เป็นกี่อย่างคะ

    ตอบ   เป็น ๒ อย่าง คือ รูปธรรมกับนามธรรม

    ส.   ที่ใช้คำว่า รูปธรรม เป็นอย่างไร

    ตอบ   รูปธรรมคือสภาพที่ไม่รู้อะไร นามธรรมเป็นสภาพที่รู้

    ส.   ที่กล่าวมาเมื่อกี้ แยกให้เห็นเลยว่า อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม เมื่อกี้นี้มีเยอะใช่ไหมคะ กรุณาแยกด้วย

    ตอบ   รสเป็นรูป รู้รสเป็นนาม

    ส.   ท่อง หรือจำได้ หรือเข้าใจ มีหลายอย่าง จะเห็นได้ว่า คนที่เพียงจำก็มี แน่นอนพอถามคล่องเลย นี่คือขั้นจำ แต่ขั้นเข้าใจก็มีอีกระดับหนึ่ง ที่รู้ว่า รสไม่สามารถรู้อะไรได้เลย จึงเป็นรูปธรรม แม้ว่ามองไม่เห็น จะมองเห็น มองไม่เห็น ไม่สำคัญ แต่เมื่อลักษณะนั้นไม่ใช่สภาพรู้ก็ต้องเป็นรูปธรรม แต่ขณะที่รสปรากฏ จะปรากฏได้เพราะมีสภาพที่กำลังรู้รส ไม่อย่างนั้นอย่างไรๆรสก็ไม่ปรากฏ เวลานี้ใครได้รสลำไยบ้าง

    ตอบ   ไม่ได้

    ส.   เพราะอะไรคะ

    ตอบ   ยังไม่ได้ลิ้ม

    ส.   ยังไม่ได้จิตเกิดขึ้นลิ้มรสนั้นจึงปรากฏ มีเปลือก มีเนื้อ และมีเม็ด เนื้อขณะที่รับประทาน จะขาดจิตที่เกิดขึ้นรู้รสไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะมีรสอยู่ในธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะว่าลำไยก็อ่อนหรือแข็ง เนื้อลำไยก็อ่อนๆ แต่ขณะที่อ่อน ในอ่อนนั้นมีรส ซึ่งไม่สามารถปรากฏได้เลย ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นลิ้มรสนั้น

    เพราะฉะนั้น เห็นความน่าอัศจรรย์ของจิตไหมคะ เป็นนามธาตุ มีจริงๆ สามารถรู้ได้ทุกอย่าง แต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยด้วย คือ ถ้ารูปนี้ยังไม่กระทบลิ้น จิตลิ้มรสหรือรู้รสเกิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่จิตที่ลิ้มรสก็ยังอาศัยเหตุปัจจัย พอรู้รสแล้วเสร็จ หมดหน้าที่ เป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้รสแล้วก็ดับ เป็นเราหรือเปล่า

    ตอบ   ไม่ใช่

    ส.   เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้ ที่ทุกคนได้ยินบ่อยๆ คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เว้นเลย จิตไม่ได้เกิดขึ้นตามที่ใครคนหนึ่งคนใดจะต้องการ แต่จะเกิดต่อเมื่อมีปัจจัยที่จิตนั้นจะเกิด จิตนั้นก็เกิด


    หมายเลข 4488
    30 ส.ค. 2558