ศึกษาธรรมเพื่ออะไร


    ส.   ถ้าเราเป็นคนรู้แล้ว ก็คงไม่ต้องศึกษา ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น คนที่ศึกษาก็รู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่า เราไม่รู้สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าเราสนใจวิชาการหนึ่งวิชาการใด เราก็ไปเรียน เราก็รู้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดดอกไม้ การตัดเสื้อ การสร้างบ้าน เรียนเพื่อรู้ฉันใด เวลาฟังพระธรรม ก็หมายความว่า เรารู้ว่า เราไม่รู้ เราก็ตั้งต้นฟังผู้ที่เราเคารพสูงสุด ไม่มีใครที่จะเป็นที่เคารพสูงสุดเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น เราควรจะได้ทราบและรู้จักพระองค์มากขึ้น ไม่ใช่เพียงคิดว่าพระองค์ทรงเป็นผู้หมดกิเลส และพอเห็นพระพุทธรูปก็ระลึกถึงพระคุณและกราบไหว้ แค่นั้นไม่ชื่อว่ารู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เหมือนเราเห็นรูปใครสักคน ไม่เคยพบ ไม่เคยพูด ไม่เคยรู้ว่า คนนั้นคิดอย่างไร พูดอย่างไร เราก็ไม่สามารถรู้จักบุคคลนั้นได้เลย ฉันใด เวลาที่เรายังไม่ได้ศึกษาพระธรรม จะกล่าวว่า เรารู้จักผู้ที่เราเคารพสูงสุด เป็นไปไม่ได้เลย ต่อเมื่อใดที่เริ่มเข้าใจโดยการศึกษา เราก็จะรู้จักบุคคลนั้นมากขึ้นถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งใครก็ชื่อนี้ไม่ได้ จะเที่ยวไปเรียกใครว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย เพราะเป็นพระคุณนาม เฉพาะผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ แล้วก็กำลังปรากฏ ซึ่งบุคคลอื่นที่ไม่ได้บำเพ็ญบารมีมาถึงระดับที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถรู้อย่างพระองค์ได้

    มีอีกบุคคลหนึ่งที่สามารถรู้สภาพธรรมจริงๆ โดยไม่ต้องฟังจากใคร แต่ก็ต้องบำเพ็ญบารมี แต่ไม่มากเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธ คือสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ แต่เนื่องไม่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถมีพระทศพลญาณอย่างพระผู้มีพระภาคที่สามารถทรงแสดงสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจถูกต้องโดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเช้า สาย บ่าย ค่ำ ก็ทรงแสดงพระธรรมที่สืบทอดมาเป็นพระไตรปิฎก ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจก่อนเป็นพื้นฐาน ใครก็ตามที่อ่านพระไตรปิฎก สามารถเข้าใจจริงๆได้หรือเปล่า หรือเพียงเข้าใจส่วนน้อยนิด ส่วนที่เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติทางกาย ทางวาจาที่เป็นพระวินัย แล้วเรื่องของพระสูตรที่มี แล้วเราก็คิดว่า คล้ายระดับของศีลธรรม เช่น ให้ละชั่ว ทำความดี และชำระจิตให้บริสุทธิ์ ถ้าเราเป็นผู้ตรง เราจะรู้ได้ว่า เราเข้าใจบางส่วน เช่น ละชั่ว ไม่ทำคความเสียหาย หรือโทษเบียดเบียนคำอื่น ทำความดีให้ถึงพร้อม เราก็เข้าใจความดีเท่าที่รู้จัก แต่ถึงพร้อมรวมความแค่ไหน โดยเฉพาะชำระให้บริสุทธิ์ นึกไม่ออกเลยว่า จิตขณะไหนของเราไม่บริสุทธิ์ แล้วจะชำระอย่างไร

    เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรงต่อความไม่รู้ของเรา ก็ทำให้เราศึกษาธรรมเพื่อรู้ เพื่อเข้าใจถูกว่า ผู้ให้ความรู้จริงๆ มีพระองค์เดียว คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา ไม่มีใครรู้เกินกว่าพระองค์ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ ของเทพ ของพรหม เพราะแม้พรหมก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่นใดก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรู้ได้ คือ ไม่มีใครสามารถแสดงสิ่งที่มี ให้เราเกิดความรู้ความเข้าใจ จนกระทั่งเป็นความรู้ของเราเอง จากที่ไม่เคยรู้เลย ก็ค่อยๆรู้ขึ้น

    นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนที่ได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว จะศึกษาตลอดชาติ และไม่ใช่ชาติเดียว เพราะชาติเดียวไม่สามารถรู้พระปัญญาคุณ จนกว่าจะเป็นพระอริยบุคคลเมื่อไร ก็จะรู้ได้ว่า สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ผู้นั้นก็จะรู้ว่า เป็นความจริง โดยการประจักษ์แจ้งของตัวเอง

    ก็ต้องเริ่มฟัง สำหรับคนที่ยังไม่เคยฟัง และจะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า


    หมายเลข 4487
    30 ส.ค. 2558