เจตนาเจตสิกเป็นปัจจัยให้เกิดมโนกรรม
ถ้าจะกล่าวว่าเป็นมโนกรรม อย่าลืมว่า อกุศลเจตนาที่เกิดกับอกุศลจิตทั้งหมดเป็นมโนกรรม นี่ตอนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นระดับใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดทางปัญจทวาร เช่น ทางตาเห็นแล้วเกิดโลภมูลจิตขึ้น ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต มีอกุศลเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็เป็นมโนทวาร
นี่คือความหมายทั่วไปเลยของคำว่า “มโนกรรม” แต่ถ้ากล่าวถึงมโนกรรมในอกุศลกรรมบถ ยกเพียง ๓ อย่าง ซึ่งจำแนกให้เห็นว่า กรรมใดเป็นกายกรรม กรรมใดเป็นวจีกรรม กรรมใดเป็นมโนกรรม และสำหรับมโนกรรมที่เป็นอกุศลเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เพราะเหตุว่าแม้แต่เพียงอกุศลเจตนาที่เกิดกับอกุศลจิตทั่วๆไป ก็เป็นมโนกรรมแล้ว โดยนัยที่กว้างมาก เมื่อยังไม่ล่วงเป็นทุจริตทางหนึ่งทางใดก็เป็นมโนกรรม
เพราะฉะนั้น อภิชฌาเมื่อยังไม่ล่วงเป็นทุจริตทางกาย หรือทางวาจาก็เป็นมโนกรรม
ถาม แสดงว่าพระโสดาบันละอภิชฌาในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ใช่ไหมครับ
สุ ไม่มีการอยากได้ของของคนอื่นในทุจริตเลย ถ้าถามว่าพระโสดาบันยังมีมโนกรรมไหม
ผู้ฟัง
สุ. มี เพราะอกุศลเจตนาที่เกิดกับอกุศลจิตทุกดวงเป็นมโนกรรม
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาโดยละเอียด ข้อความในอัฏฐสาลินี ที่ว่า กุศลเจตนาและอกุศลเจตนา ๒๙ อันเป็นไปในภูมิ ๓ ชื่อว่ามโนกรรม และมโนทวาร ที่ใช้คำว่ามโนทวาร เพราะเหตุว่ายังไม่ล่วงออกไปทางกายหรือทางวาจา
ผู้ฟัง
สุ. เห็นคุณมารดาบิดาก็ต้องเป็นกุศลกรรม
ผู้ฟัง
สุ. ขณะนั้นเป็นกุศลจิต เป็นมโนกรรม
เรื่องของมโนกรรม ถ้าคิดถึงอย่างกว้างที่สุดแล้วจะไม่มีปัญหาเลย คือ ขณะใดก็ตามที่ยังไม่ล่วงออกไปทางกาย ทางวาจา กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาทั้งหมดเป็นมโนกรรม ตัดปัญหาไปได้เลย แต่ถ้าถึงขั้นอกุศลกรรมบถ ยกเฉพาะ ๓ ที่เป็นมโนกรรม คือ อภิชฌา ๑ พยาปาท ๑ และมิจฉาทิฏฐิ ๑