นั่งหลับตาจดจ้องอยู่ที่อารมณ์เดียว แล้วไม่รู้อะไร


    ความสุขมีแต่ว่าแต่ว่าหลงลืมสติ ไม่รู้ว่าลักษณะที่เป็นสุขนั้น เป็นแต่เพียงสภาพที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นสภาพความรู้สึกชนิดหนึ่ง อันนึงเท่านั้น จึงมีแต่ความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่การเจริญสมาธิ หลายท่านที่ได้ฟังการเจริญสติปัฏฐานแล้วก็เสียดายเวลาของท่านที่ไปนั่งหลับตา และกล่าวว่า แทนที่จะไปนั่งหลับตาจดจ้องอยู่ที่อารมณ์เดียวแล้วไม่รู้อะไร ทำไมไม่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะถ้าจดจ้องอยู่ที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดอารมณ์เดียวแล้วก็ไม่รู้อารมณ์อื่น

    เป็นของที่แน่นอนว่า การที่จะมีปัญญารู้ชัด สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏมากจึงจะเป็นมหาสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้น การเจริญสมาธิรู้ที่ลมหายใจเท่านั้น เป็นอานาปานสติสมาธิ ไม่รู้อย่างอื่นเลย แต่เวลาที่อานาปานสติสมาธิเจริญอย่างไรจึงมีอานิสงส์มาก อานาปานสติสมาธินั้นจะต้องมีสติ เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมจึงจะเป็นการเจริญอานาปานสติสมาธิที่มีผลมากมีอานิสงส์มาก มิฉะนั้นก็จะเป็นการเจริญเพียงอานาปานสติสมาธิที่บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน

    แต่อาปานสติสมาธิที่เป็นมหาสติปัฏฐาน จะต้องเห็นกายในกาย ขณะหายใจออกขณะหายใจเข้า เห็นเวทนาในเวทนาขณะหายใจออกขณะหายใจเข้า ไม่ใช่ให้รู้ที่เดียวเลย

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเจริญสติปัฏฐานและคิดว่าต้องรู้อารมณ์เดียว จะเป็นการเจริญปัญญาได้ไหม ไม่มีหนทางเลยที่ปัญญาจะเจริญขึ้น ละอะไรก็ไม่ได้ ยังยินดีพอใจจดจ้องต้องการ ไม่ใช่เป็นการเจริญมหาสติปัฏฐานแน่


    หมายเลข 3308
    24 ก.ย. 2566