สังเวชนียสถาน เป็นสถานที่พุทธบริษัทจะระลึกถึงพระผู้มีพระภาค


    สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว มีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ นอกจากพระธรรมที่เป็นพระศาสดาแล้ว ในโลกนี้ก็ยังมีสถานที่ซึ่งเป็นสังเวชนียสถาน เป็นสถานที่พุทธบริษัทจะระลึกถึงพระผู้มีพระภาคด้วยจิตที่เป็นกุศล เพราะได้เข้าใจธรรม คือ ธรรมทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป และบางท่านบางขณะระลึกถึงความตาย ก็อาจจะระลึกว่า เมื่อตายแล้ว จะไม่เห็นโลกนี้อีกต่อไป โลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละวันๆ ผู้นั้นไม่สามารถรู้เห็นอีกต่อไปได้ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปสู่โลกอื่น เป็นบุคคลอื่นทันที

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวถึงโลกที่เราอยู่ขณะนี้ว่า มีอะไรบ้างที่ควรค่าแก่การเห็น เพราะเหตุว่าการเห็นไม่ว่าจะเกิดในที่หนึ่งที่ใด ในภพภูมิใด จะเป็นในสวรรค์หรือในมนุษย์ การเห็นก็เหมือนกัน คือ มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา การเห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส ทุกภพทุกชาติเหมือนกัน แต่สำหรับผู้ที่เกิดในโลกมนุษย์ในยุคนี้ ในกัปนี้ ในสมัยนี้ มีสถานที่ที่จะทำให้เมื่อเห็นแล้วเกิดกุศล ระลึกถึงพระคุณ ซึ่งโลกอื่นแม้สวรรค์ก็ไม่มี คือ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ได้แก่ สถานที่ประสูติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สถานที่ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ทรงดับขันธปรินิพพาน ในสวรรค์หรือในพรหมโลกก็ไม่มีสถานที่เหล่านี้ แต่ต้องเป็นผู้มีปัญญาจึงจะเห็นความเป็นสังเวชนียะของสถานเหล่านั้นได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญา แม้จะเดินอยู่ที่ประตูของพระวิหารเชตะวัน ก็ไม่สามารถรู้คุณของสถานที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงประทับเป็นเวลานาน และทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้พุทธบริษัทได้พ้นทุกข์ ด้วยการรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    สำหรับผุ้มีโอกาสไปนมัสการสังเวชนียสถาน ก็ไม่ควรเพียงไปเห็นเท่านั้น แต่ควรได้มีกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาที่จะพิจารณา เพื่อให้เห็นความเป็นสังเวชนียะของสถานเหล่านั้น เช่น สถานที่ประสูติ การเกิดเป็นของธรรมดาเมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น และทุกคนก็เกิดมาแล้ว นานแล้วในแสนโกฏิกัปป์ และเมื่อตายแล้วผู้ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องเกิดอีก

    เพราะฉะนั้น การเกิดโดยทั่วๆ ไปเป็นธรรมดา ที่ตายแล้วก็ต้องเกิดแล้ว แต่สำหรับผู้ที่เกิดแล้ว เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ย่อมไม่ใช่ของธรรมดา กว่าจะอบรมเจริญปัญญาบารมี เกิดแล้วเกิดอีกในสังสารวัฏมานานแสนนาน จนกว่าจะถึงการเกิดครั้งสุดท้าย

    เพราะฉะนั้น ที่เกิดครั้งสุดท้ายก็ควรจะได้น้อมระลึกถึงพระคุณที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป แล้วสถานที่เป็นที่เกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดอีกต่อไป

    ที่ประสูติครั้งสุดท้าย ก็คือลุมพินีวัน ท่านที่ไปนมัสการที่นั่น ก็จะนึกถึงพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญ ๔ อสงไขยแสนกัป

    สถานที่ตรัสรู้ในอดีต คือ ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ถ้าท่านผู้ฟังจะน้อมระลึกถึงสถานที่ที่ทรงตรัสรู้ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พุทธคยา พระโพธิสัตว์ผู้ทรงเป็นปุถุชน เพราะเหตุว่ากิเลสทั้งหลายยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท แต่ว่าเมื่อได้ย่างพระบาทไปประทับอยู่ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในวันนั้นสามารถสิ้นสุดความเป็นปุถุชน ดับกิเลสหมด เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    จะเห็นได้ว่า ถ้าได้ไปถึงสถานที่นั้นแล้ว ถ้าได้น้อมระลึกถึงรอยเท้าในอดีต จะมากมายสักแค่ไหน ก่อนที่พระองค์จะประทับนั่ง และเมื่อตรัสรู้แล้ว หลังจากได้ทรงแสดงธรรมจนกระทั่งปรินิพพานแล้ว ผู้ที่ได้ไปนมัสการยังสังเวชนียสถาน คือ สถานที่ตรัสรู้ ทุกก้าวย่างให้ทราบว่า มีรอยเท้าของผู้อื่นซึ่งได้ผ่านไปนมัสการในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้นับไม่ถ้วน และยังจะต่อๆ ไปอีก เพราะเป็นสถานที่ที่ไม่ใช่ธรรมดา เป็นที่ทำให้บุคคลผู้นั้นซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ได้บำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป สิ้นสภาพความเป็นปุถุชนและได้ตรัสรู้เป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สถานที่อีกแห่งหนึ่งก็คือ สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาที่สารนาถ เป็นการทรงถึงพร้อมด้วยสัตตุปการะ คือ การอุปการะแก่สัตว์โลก เป็นการเทศนาครั้งแรก และสถานที่ดับขันธปรินิพพาน ที่กุสินารา และที่นั้นทุกท่านก็คงระลึกถึงที่ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับขันธ์แล้ว จะไม่มีการเกิดอีกเลย ทุกคนเกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตาย ที่ตายของแต่ละคนก็ย่อมเป็นของธรรมดา เพราะว่าเมื่อตายแล้วก็เกิดอีก แต่ที่ดับขันธปรินิพพาน ที่ที่จะไม่เกิดอีกเลยของผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป และสำหรับประเทศอินเดีย ถ้าจะได้ท่องเที่ยวไปสถานที่ต่างๆ ก็จะน้อมระลึกถึงแดนของพระอรหันต์และพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระอริยะทั้งหลาย เป็นที่ที่ทำให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยได้ทุกแห่ง


    หมายเลข 2046
    2 ก.ย. 2565