จิตว่างไม่ได้เลย


    ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้นต้องทำกิจการงาน ว่างไม่ได้เลย เวลาที่เรารู้สึกว่าเราว่าง เรารู้สึกว่าเป็นเราไม่ได้ทำการงานธุระต่างๆ แต่จิตที่เกิดแล้วจะไม่ทำกิจการงานไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตจะต้องทำหน้าที่หนึ่งหน้าที่ใดในหน้าที่ของจิตซึ่งมีทั้งหมด ๑๔ กิจ ปฏิสนธิกิจเป็นกิจแรกจิตทำหน้าที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เมื่อปฏิสนธิจิตดับ จิตที่ดับไปแล้วเป็นปัจจัยทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อ โดยกรรมเดียวกันที่ทำให้เมื่อบุคคลนั้นปฏิสนธิด้วยจิตอะไร ก็ทำให้จิตประเภทเดียวกันนั้นเองเป็นผลของกรรมเดียวกันเกิดสืบต่อดำรงภพชาติทำภวังคกิจ ซึ่งขณะที่ทำภวังคกิจจิตไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้คิดนึกใดๆ เลยทั้งสิ้น ที่เราจะรู้ลักษณะของภวังคกิจได้ขณะที่นอนหลับสนิทจริงๆ ขณะนั้นโลกไม่ปรากฏเราเป็นใครก็ไม่รู้ ญาติพี่น้องอยู่ที่ไหน นอนอยู่ที่ไหนอย่างไรไม่มีความรู้ทั้งสิ้น แต่ยังไม่สิ้นความเป็นบุคคลนั้นเพราะเหตุว่าจิตเกิดดับทำภวังคกิจสืบต่อดำรงภพชาติไม่ให้ตาย ยังตายไม่ได้ ยังพ้นความเป็นบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะว่ากรรมเพียงให้ผลแค่ปฏิสนธิกับภวังค์เท่านั้น ยังไม่พอ เท่ากับว่าไม่ได้รับผลอะไรเลย เพราะว่าไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าต้องแล้วแต่ว่าจิตเกิดขึ้นทำกิจอะไรแต่ไม่ว่าง บางท่านอาจจะหมายความว่าว่างจากโลภะ โทสะ โมหะ แต่ขณะนั้นเป็นกุศลซึ่งจะต้องทำกิจหนึ่งกิจใด ถ้าเป็นกุศลก็ต้องทำชวนกิจหนึ่งใน ๑๔ กิจ

    ผู้ฟัง ตกลงว่าจิตไม่ว่าง ทำกิจการงานอยู่ตลอด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ในความหมายที่ว่าจิตต้องเกิดขึ้นทำกิจการงาน ไม่มีจิตสักจิตเดียวซึ่งเกิดแล้วไม่ได้ทำกิจการงาน [สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065]


    หมายเลข 14276
    28 ต.ค. 2568