จิตว่างที่คนอื่นใช้กัน หมายถึงอะไร


    ผู้ฟัง ได้มีการฟังเรื่องจิตก็เลยมีคำถามว่า คำว่าจิตว่างที่คนอื่นใช้กัน จริงๆ หมายถึงอะไร กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์

    ท่านอาจารย์ ดิฉันไม่ได้ใช้คำว่าจิตว่าง เพราะฉะนั้นการได้ยินได้ฟังคำนี้ก็ไม่ทราบว่าผู้พูดมีความหมายว่าอย่างไร เพราะว่าจิตเกิดขึ้นต้องทำกิจการงาน ว่างไม่ได้เลย เวลาที่เรารู้สึกว่าเราว่าง เรารู้สึกว่าเป็นเราไม่ได้ทำการงานธุระต่างๆ แต่จิตที่เกิดแล้วจะไม่ทำกิจการงานไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตจะต้องทำหน้าที่หนึ่งหน้าที่ใดในหน้าที่ของจิตซึ่งมีทั้งหมด ๑๔ กิจ ปฏิสนธิกิจเป็นกิจแรกจิตทำหน้าที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เมื่อปฏิสนธิจิตดับ จิตที่ดับไปแล้วเป็นปัจจัยทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อ โดยกรรมเดียวกันที่ทำให้เมื่อบุคคลนั้นปฏิสนธิด้วยจิตอะไร ก็ทำให้จิตประเภทเดียวกันนั้นเองเป็นผลของกรรมเดียวกันเกิดสืบต่อดำรงภพชาติทำภวังคกิจ ซึ่งขณะที่ทำภวังคกิจจิตไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้คิดนึกใดๆ เลยทั้งสิ้น ที่เราจะรู้ลักษณะของภวังคกิจได้ขณะที่นอนหลับสนิทจริงๆ ขณะนั้นโลกไม่ปรากฏเราเป็นใครก็ไม่รู้ ญาติพี่น้องอยู่ที่ไหน นอนอยู่ที่ไหนอย่างไรไม่มีความรู้ทั้งสิ้น แต่ยังไม่สิ้นความเป็นบุคคลนั้นเพราะเหตุว่าจิตเกิดดับทำภวังคกิจสืบต่อดำรงภพชาติไม่ให้ตาย ยังตายไม่ได้ ยังพ้นความเป็นบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะว่ากรรมเพียงให้ผลแค่ปฏิสนธิกับภวังค์เท่านั้น ยังไม่พอ เท่ากับว่าไม่ได้รับผลอะไรเลย เพราะว่าไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าต้องแล้วแต่ว่าจิตเกิดขึ้นทำกิจอะไรแต่ไม่ว่าง บางท่านอาจจะหมายความว่าว่างจากโลภะ โทสะ โมหะ แต่ขณะนั้นเป็นกุศลซึ่งจะต้องทำกิจหนึ่งกิจใด ถ้าเป็นกุศลก็ต้องทำชวนกิจหนึ่งใน ๑๔ กิจ

    ผู้ฟัง ตกลงว่าจิตไม่ว่าง ทำกิจการงานอยู่ตลอด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ในความหมายที่ว่าจิตต้องเกิดขึ้นทำกิจการงาน ไม่มีจิตสักจิตเดียวซึ่งเกิดแล้วไม่ได้ทำกิจการงาน

    ผู้ฟัง ภวังคจิตไม่ใช่จิตว่าง

    ท่านอาจารย์ จิตทำกิจภวังค์ขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แต่ไม่ได้ตายใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่ใช่จุติจิตซึ่งเป็นจิตขณะสุดท้ายก็ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง จะกลับเป็นบุคคลนั้นอีกไม่ได้เลย เหมือนโลกก่อนเป็นใคร แต่พอจุติจิตเกิดแล้วดับก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น

    อ.อรรณพ ในคราวก่อนๆ เราก็ได้สนทนากันถึงเรื่องจิตว่าเป็นสภาพรู้ จิตเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ สิ่งที่จิตรู้คืออารมณ์ เมื่อจิตเกิดขึ้นจะต้องทำกิจการงาน และมีอารมณ์คือจะต้องรู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่จิตรู้ จะว่างจากสิ่งที่จิตรู้ไม่ได้เลย เพราะว่าลักษณะของจิตหรือคำว่านามธรรมเป็นสภาพที่น้อมไปในอารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเจตสิกเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งที่จิตรู้คืออารมณ์ จะไม่ว่างเลยจากกิจของจิตที่ต้องมีสิ่งที่จิตรู้คืออารมณ์

    ท่านอาจารย์ ขอถามเพิ่มเติมทบทวนความเข้าใจว่าขณะที่นอนหลับสนิทจิตรู้อารมณ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง รู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ รู้ แต่ว่าอารมณ์นั้นไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงไม่ปรากฏ แต่จิตเป็นสภาพรู้ จะมีจิตเกิดโดยไม่รู้อารมณ์ไม่ได้ แม้แต่ปฏิสนธิหรือภวังค์ก็ต้องรู้อารมณ์ของปฏิสนธิและภวังค์ซึ่งไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ โลกนี้จะปรากฏเมื่อเห็น ถ้าไม่เห็นเลย โลกนี้จะปรากฏไหม ถ้าไม่ได้ยินเลย ไม่ได้กลิ่นเลย ไม่ลิ้มรสเลย ไม่กระทบสัมผัสอะไรเลย ไม่คิดนึกใดๆ เลยโลกนี้ก็ไม่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ผมยังไม่เข้าใจว่าภวังค์รู้อารมณ์ของโลกในอดีต หลับไปก็หลับไปเฉยๆ ไม่เห็นไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ เชิญอาจารย์สุภีร์

    อ.สุภีร์ ก็เพราะรู้อารมณ์ในอดีตจึงเหมือนหลับไปเฉยๆ แต่ถ้ามีการรู้อารมณ์ของโลกนี้ก็คือรู้ทางทวารทั้ง ๖ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกนี้จึงจะปรากฏ จึงมีเราหรือว่ามีญาติ มีบ้าน มีรถ มีการงาน หรือว่ามียศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ มากมายซึ่งเป็นของโลกนี้ แต่ภวังคจิตนี้รู้อารมณ์ของชาติที่แล้วโลกนี้จึงไม่ปรากฎเลย ฉะนั้นเวลาเรานอนหลับสนิทก็จะไม่มีบ้านไม่มีรถไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ ที่เราได้มาในโลกนี้เลย ต่อเมื่อใดที่ตื่นมาแล้วมาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้อีกครั้งหนึ่งจึงจะมีอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นภวังคจิตก็เป็นจิตชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นทำภวังคกิจดำรงความเป็นบุคคลนั้นไว้เพื่อให้รับผลของกรรมประการอื่นๆ ต่อทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ว่าเป็นการรู้อารมณ์ของโลกที่แล้วโลกนี้จึงไม่ปรากฏไม่ว่าจะนอนบนเตียงนุ่มๆ ขนาดไหน หรือว่าบางท่านอาจจะนอนใต้ร่มไม้ถ้าขณะที่หลับสนิทจะไม่ต่างกันเลยเพราะว่าไม่รู้เรื่องของโลกนี้เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ขอทบทวนเพราะว่าจะได้ไม่ลืม ขณะที่หลับสนิทมีเอกัคคตาเจตสิกไหม ถูกต้องคำตอบคือ มี ไม่ว่าจิตขณะใดจะเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และก็มีเจตสิก ๗ ประเภทซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกประเภท

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นที่พูดถึงเรื่องจิตว่าง ไม่ว่าง ถ้าเราใช้คำว่าจิตไม่ว่าง ก็ไม่ผิดใช่ไหม

    อ.อรรณพ แล้วแต่ผู้ที่กล่าวว่าจะมุ่งหมายอย่างไร ถ้าหมายถึงจิตเกิดขึ้นจะต้องรู้อารมณ์ จิตเกิดขึ้นก็ต้องทำกิจการงาน แต่ถ้าว่างจากอกุศลขณะนั้นเป็นไปได้ในขณะที่เป็นกุศลขณะนั้นเว้นว่างจากอกุศลเจตสิตชั่วขณะ แต่จิตเป็นสภาพรู้เป็นนามธรรมเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และเกิดขึ้นต้องทำกิจการงานอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๑๔ กิจ ซึ่งกิจในขณะแรกของชาตินี้เกิดขึ้นก็ทำปฏิสนธิกิจก็คือเกิดเป็นจิตแรก จนกระทั่งจิตสุดท้ายของชาตินี้คือจุติจิตก็เกิดขึ้นทำกิจการงานคือทำกิจหน้าที่เคลื่อน

    จิตเกิดขึ้นย่อมมีสิ่งที่จิตรู้แล้วก็ทำกิจ แต่ขึ้นกับว่าจิตนั้นทำกิจใดและรู้อารมณ์ใด ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาสักครู่ว่าในขณะที่ภวังค์ขณะที่หลับดูเหมือนไม่รู้อะไรเลยเพราะว่าจิตนั้นเป็นภวังคจิตทำภวังคกิจคือดำรงภพชาติเป็นวิบากจิต ไม่ใช่จิตที่เห็น ได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคิดนึกเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่เว้นว่างจากการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส หรือคิดนึก ขณะนั้นก็เป็นภวังคจิตคือเป็นจิตที่ไม่เป็นวิถีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ใช่ไหม แต่ขณะนั้นต้องมีอารมณ์ของจิตเพราะจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ เราอาจจะคิดโดยความคิดกว้างๆ ว่าหลับก็เหมือนกับไม่รู้อะไร แต่เพราะว่าจิตนั้นทำกิจดำรงภพชาติ ในเมื่อยังเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้อยู่ ตราบใดที่กรรมยังไม่หมดไป ยังไม่ถึงคราวที่จะเคลื่อนย้ายไปสู่ภพใหม่ ในขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่กระทบสัมผัส หรือไม่ได้คิดนึกเรื่องใด ก็เป็นภวังคจิตที่เกิดขึ้นทำกิจดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นต้องทำกิจการงาน และรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด เพียงแต่ว่าอารมณ์นั้นไม่ใช่อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนในขณะนี้

    ผู้ฟัง ในชาติที่แล้วน่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่พอจะย้อนมาสู่โลกปัจจุบันได้บ้างไหมน่าจะมีบ้าง แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลย

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าชาตินี้คือชาติหน้าของชาติก่อน ไม่สงสัยเลยใช่ไหมว่าชาติก่อนทำอะไรบ้าง เพราะขณะที่กำลังเป็นชาตินี้ พอจุติพ้นไปก็คือชาติก่อนของชาติหน้า แล้วหมดสงสัย ชาติก่อนก็ต้องเหมือนอย่างนี้ ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึกสารพัดเรื่อง ผ่านสุข ผ่านทุกข์มาแล้วมากมาย ทั้งดีใจ เสียใจ เหมือนในชาตินี้ เพียงแต่ว่าต่างลักษณะกันเท่านั้นเอง

    ขอสนทนาเรื่องจิตว่างอีกสักนิด คือว่าไม่อยากจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปโดยที่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไรแล้วสับสน ถ้าใครใช้คำว่าจิตว่าง น่าจะถามว่า ว่างอย่างไร แต่ว่าโดยมาก เมื่อได้ยินคำว่าจิตว่าง อยากว่างแล้วใช่ไหม คล้ายๆ กับเหน็ดเหนื่อย จิตทำงานทั้งวันยุ่งมาก เบื่อเหลือเกิน เมื่อไหร่จะจิตว่าง เข้าใจว่าดีใช่ไหม แต่ขณะที่ว่างก็ไม่มีปัญญาใช่ไหม เพราะว่าง ดีไหม

    อ.อรรณพ หมายความว่าว่างจากปัญญาหรือ

    ท่านอาจารย์ คือถ้าใช้คำว่าจิตว่าง ก็ควรที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้องว่าหมายความถึงอะไรอย่างไร ไม่เช่นนั้นเราก็ใช้คำที่ไม่ทราบว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นคนทั่วไปพอได้ยินคำว่าจิตว่าง อยากจิตว่าง แต่ไม่รู้ว่าจิตว่างคืออะไร แต่ถ้าจิตว่าง จริงๆ ขณะนั้นก็ต้องไม่มีปัญญาด้วย เพราะว่าง ถ้าว่างแล้วจะมีปัญญาได้อย่างไร และจะเอาไหมจิตอย่างนั้น

    อ.สุภีร์ กล่าวคำว่า ว่าง ในภาษาไทยไปแล้ว ผมจะกล่าวคำว่า ว่าง ในภาษาบาลีบ้าง ภาษาบาลีที่แปลว่าว่าง มาจากคำว่าสุญญตาแปลว่าความว่าง ไม่ใช่จิตอย่างเดียวที่เป็นสุญญตา อันนี้ไม่เกี่ยวกับภาษาไทยแล้ว เป็นภาษาบาลีที่แปลกันออกมา ปกติก็จะแปลว่าเป็นของว่างเปล่า สุญญตา ไม่ใช่เฉพาะจิตอย่างเดียวที่เป็นสุญญตาทั้งจิต เจตสิก รูป ทั้งหมดเป็นสุญญตาทั้งหมด คือในขณะนี้ก็เป็นจิต เจตสิก รูป เป็นสุญตา ก็คือเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ขณะนี้ทุกๆ ท่านมีจิต เจตสิก เกิดขึ้นกระทำหน้าที่กิจการงานต่างๆ มีจิตที่เกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เราเห็น ฉะนั้นจิตเป็นสุญตา ก็คือ จิตนี้ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล จากการที่ใครจะสามารถบังคับบัญชาได้ เจตสิกก็เหมือนกันเกิดขึ้นทำกิจทำกิจหน้าที่การงาน ไม่มีเราเลย รูปก็เช่นเดียวกันทั้งจิต เจตสิก รูป เป็นของว่างเปล่า เรียกว่าสุญตา ไม่ใช่เฉพาะจิตอย่างเดียวที่เป็นของว่างเปล่า ซึ่งตามภาษาบาลีที่ส่วนใหญ่ก็นิยมแปลกันว่าเป็นของว่างเปล่าก็คือแปลมาจากคำว่าสุญญตานั่นเอง ก็คือสภาพธรรมทุกอย่างเป็นสุญญตาเพราะว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาอะไรได้

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังอย่างนี้แล้วต้องการไหมสุญญตา ว่าง แต่ตามความจริงก็คือว่างจริงๆ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา เพียงเกิดปรากฏแล้วหมดไปเลย ไม่เหลือ สิ่งที่เกิด แล้วดับแล้วจะไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นทุกขณะไม่มีอะไรเหลือที่จะเป็นของเก่าของเดิมเลย แม้แต่เห็นที่กำลังเห็นขณะนี้ ก็ไม่ใช่เห็นตอนที่เพิ่งเข้ามาในห้องนี้แล้วเห็น เพราะฉะนั้นทุกขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเพราะว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับหมดไปๆ แล้วทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย คืนนี้ก็คงจะเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ไม่เหลืออะไร วันนี้จบแล้ว แต่ว่าจริงๆ แล้วทุกขณะเป็นอย่างนั้น คือเกิดแล้วก็ดับไปทันที ต้องการอย่างนี้หรือเปล่า

    ต้องการว่างอย่างนี้หรือเปล่า ว่างคือว่างจากความเป็นเรา ความเป็นตัวตน แต่ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเห็นความจริงนี้ได้เพราะเหตุว่ายังคงเป็นเราที่เข้าใจ ยังเป็นเราที่คิดอย่างนี้ แต่ว่ายังไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ขณะนั้นต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจะเกิดต่อเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องมั่นคงในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ ยิ่งเป็นสัจจญาณที่มั่นคงว่า ปัญญาสามารถที่จะประจักษ์ความจริงในขณะนี้จึงจะเป็นปัญญาขั้นที่เป็นอริยสัจธรรม เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังเกิดดับได้

    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065


    หมายเลข 14275
    28 พ.ย. 2568