เกสีสูตร


    ขอกล่าวถึงข้อความในพระไตรปิฎก ในครั้งพุทธกาล พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมเท่าที่จะอุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลกได้ แต่ก็มีบุคคลจำนวนมากเหมือนกัน ซึ่งพระธรรมไม่สามารถที่จะเกื้อกูลบุคคลเหล่านั้นได้

    อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เกสีวรรค ที่ ๒ เกสีสูตร มีข้อความว่า

    ครั้งนั้นแล สารถีผู้ฝึกม้า ชื่อ เกสี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามว่า

    ดูกร เกสี ท่านอันใครๆ ก็รู้กันดีแล้วว่า เป็นสารถีผู้ฝึกม้า ก็ท่านฝึกหัดม้าที่ควรฝึกอย่างไร

    สารถีผู้ฝึกม้า ชื่อ เกสี กราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ฝึกหัดม้าที่ควรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง ทั้งละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร เกสี ถ้าม้าที่ควรฝึกของท่าน ไม่เข้าถึงการฝึกหัดด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ท่านจะทำอย่างไรกะมัน

    สารถีผู้ฝึกม้า ชื่อ เกสี กราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าม้าที่ควรฝึกของข้าพระองค์ ไม่เข้าถึงการฝึกหัด ด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ก็ฆ่ามันเสียเลย ข้อนั้นเพราะ เหตุไร เพราะคิดว่า โทษมิใช่คุณ อย่าได้มีแก่สกุลอาจารย์ของเราเลย

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเป็นสารถี ฝึกบุรุษชั้นเยี่ยม ก็พระผู้มีพระภาคทรงฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างไร

    พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า

    ดูกร เกสี เราแล ย่อมฝึกบุรุษที่ควรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง ทั้ง ละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง

    ดูกร เกสี ในวิธีทั้ง ๓ นั้น การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธีละม่อม คือ กายสุจริต เป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็นดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนสุจริตเป็นดังนี้ เทวดาเป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้

    การฝึกแบบละม่อม คือ การแสดงให้เห็นธรรมฝ่ายกุศลที่ควรเจริญว่า ควรอบรม ควรเจริญอย่างไรเป็นกายสุจริต เป็นวจีสุจริต เป็นมโนสุจริต

    ข้อความต่อไปมีว่า

    การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธีรุนแรง คือ กายทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายทุจริตเป็นดังนี้ วจีทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริตเป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนทุจริตเป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเป็นดังนี้ ปิตติวิสัยเป็นดังนี้

    ต่อไปเป็นการฝึกที่ทั้งละม่อมทั้งรุนแรง

    ข้อความต่อไปมีว่า

    การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง คือ กายสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็นดังนี้ กายทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายทุจริตเป็นดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้ วจีทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนสุจริตเป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่ง มโนทุจริตเป็นดังนี้ เทวดาเป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเป็นดังนี้ ปิตติวิสัยเป็นดังนี้

    สารถีผู้ฝึกม้า ชื่อ เกสี ก็ยังไม่หมดความสงสัย ได้กราบทูลถามต่อไปว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของพระองค์ไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง พระผู้มีพระภาคจะทำอย่างไรกะเขา

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร เกสี ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของเราไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง เราก็ฆ่าเขาเสียเลย

    เกสีกราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาณาติบาต ไม่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเลย ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระผู้มีพระภาคจึงตรัสอย่างนี้ว่า ฆ่าเขาเสีย

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    จริง เกสี ปาณาติบาตไม่สมควรแก่ตถาคต ก็แต่ว่าบุรุษที่ควรฝึกใด ย่อมไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกนั้นว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารีย์ผู้เป็นวิญญูชน ก็ย่อมไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน

    ดูกร เกสี ข้อที่ตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารีย์ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลาย ก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี่เป็นการฆ่าอย่างดี ในพระวินัยของพระอริยะ

    เกสีกราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่พระตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารีย์ผู้วิญญูชนก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอนนั้น เป็นการฆ่าอย่างดี แน่นอน

    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยเอนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    ถ้าท่านผู้ฟังไม่อยากให้ยกพระธรรมโดยละเอียดขึ้นเทียบเคียงในการปฏิบัติ จะเหมือนกับการฆ่าเสียไหม ไม่ต้องกล่าวถึงกันอีกในเรื่องเหตุผล ในพระวินัยปิฎก ในพระสุตตันตปิฎก ในพระอภิธรรมปิฎก เพราะบางท่านกล่าวว่า การศึกษาปริยัตินั้นไม่ตรงกับการปฏิบัติ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ผิด และถ้าท่านผู้ฟังอยากจะถูก ก็ต้องเทียบเคียงทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก แต่ถ้าไม่อยากจะให้ยกข้อความในทั้ง ๓ ปิฎกขึ้นมาเทียบเคียง ขึ้นมาให้พิจารณา ก็เหมือนกับการฆ่าเสีย ผู้นั้นก็ไม่เจริญงอกงามในพระธรรมวินัย ในการเจริญข้อประพฤติปฏิบัติที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมได้ตามความเป็นจริง

    ในครั้งพุทธกาล ที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ถ้าท่านผู้ฟังศึกษาใน พระ ธรรมวินัย จะเห็นได้ว่า สำหรับบางท่าน พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพียงเล็กน้อย แต่ผู้ฟังสามารถพิจารณาได้ว่า พระธรรมที่ได้ทรงแสดงนั้น สมบูรณ์ทั้งเหตุและผล เป็นข้อที่ควรประพฤติปฏิบัติตาม เพียงพระธรรมเทศนาสั้นๆ แต่ในสมัยนี้ ถ้าท่านผู้ฟังยังไม่ได้ให้เหตุกับผลตรงกัน หรือว่า ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรม พระธรรมวินัยก็ไม่สามารถที่จะเกื้อกูลได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะในครั้งนี้ ที่พุทธบริษัทมีความเห็นต่างกัน ประพฤติปฏิบัติต่างกัน แม้ในครั้งโน้น ถ้าบุคคลใดไม่สามารถที่จะเข้าใจในเหตุในผลที่พระองค์ทรงแสดง พระผู้มีพระภาคเองก็มิได้ตรัสตอบบุคคลที่มากราบทูลถามข้อธรรมต่างๆ ถ้าท่านผู้ฟังศึกษาในพระสูตร จะเห็นได้ว่า มีหลายครั้งที่บุคคลอื่น มีความเห็นอย่างอื่น มีความเข้าใจอย่างอื่นไปเฝ้ากราบทูลถาม แต่พระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสตอบเลย ทรงนิ่ง เพราะว่าพระผู้มีพระภาคย่อมทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์โลกโดยละเอียดว่า ผู้นั้นสมควรที่จะเกื้อกูลได้มากน้อยอย่างไร

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 253


    หมายเลข 14168
    29 พ.ย. 2568