ศึกษาลักษณะของเห็นในขณะที่กำลังเห็น
มีท่านผู้ฟังเขียนความเห็นมา ๓ ข้อ และคำถาม ๔ ข้อ
คำถามข้อที่ ๓. เนื่องจากดวงตามีเลนส์แก้วตา จึงมองระยะใกล้ไกลได้ แต่มองได้ไม่พร้อมกัน จึงทำให้เห็นรูปภาพกับรูปร่างต่างกัน ถูกหรือไม่
สุ. นี่เป็นเรื่องคิด เรื่องรูปภาพ เรื่องรูปร่าง เรื่องรูปภาพไม่มีความลึก แต่รูปร่างมีความลึก แทนที่จะศึกษาลักษณะของเห็นในขณะที่กำลังเห็นว่า ไม่ใช่ตัวตน และสิ่งที่ปรากฏ ไม่จำเป็นต้องนึกถึงรูปภาพหรือรูปร่าง ลึกหรือไม่ลึก แต่ ให้รู้ว่า เพราะอะไรพระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ในเมื่อใครๆ ก็เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ
เพราะฉะนั้น ใครผิด ใครถูก พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาทแล้วยังไม่ดับเท่านั้นเอง
นี่เป็นความเห็นถูก เป็นการตรัสรู้ชอบ เพราะฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาต้องอบรมจนกว่าจะรู้ชอบอย่างนี้ และรู้ว่าหลังจากที่เห็นแล้ว ที่คิดไม่ใช่ขณะที่ กำลังเห็น [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1610]
สุ. โลกของปรมัตถธรรมสั้นมาก เล็กน้อยมาก ทันทีที่เห็นแล้วดับ แต่ ทางใจปรุงแต่งเป็นเรื่องราว เป็นบุคคล เป็นสัตว์ต่างๆ สิ่งที่ปรากฏทางตาดับไปแล้ว ก็ไม่รู้ และความไม่รู้ทำให้ไม่ประจักษ์การดับไปของปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางตา แต่เป็นความนึกคิดที่ปรุงแต่งตลอดซึ่งเป็นบัญญัติ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องรูปร่าง กับรูปภาพ (เกี่ยวข้องกับคำถามของท่านผู้ฟังข้อที่ ๓ ในครั้งก่อน) แต่ให้รู้ว่าขณะนี้สภาพรู้ต่างกับสิ่งที่ปรากฏแต่ละทาง ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
รู้อย่างนี้เมื่อไร จะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่จะต้องรู้อย่างนี้เพิ่มขึ้นๆ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1611]
