สักกายทิฏฐิ ๒๐ จำแนกไปตามขันธ์ ๕
ซึ่งในเรื่องของทิฏฐิ ความเห็นผิดต่างๆ ถ้าท่านผู้ฟังสนใจก็จะได้ราย ละเอียดจากขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ทิฏฐิกถา แต่ทิฏฐิ ๖๒ นั้นก็มีสักกายทิฏฐิเป็นมูล ถ้าไม่มีสักกายทิฏฐิเป็นมูลแล้วก็หมด ทิฏฐิอื่นก็มีไม่ได้
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลเมื่อได้รู้แจ้งในสภาพของนามและรูปตามความเป็นจริงแล้ว ที่จะมีความเห็นผิด ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 132]
สำหรับสักกายทิฏฐิ ๒๐ จำแนกไปตามขันธ์ ๕ คือ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลยังมีสักกายทิฏฐิ ๒๐ นี้
ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ทรงอุปมาว่า เหมือนกับเปลวไฟและแสงสว่าง
ทุกท่านมีรูป ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน จะอ่อนจะแข็งก็ยึดถือ เพราะไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงลักษณะของรูปชนิดหนึ่ง เย็นก็เป็นแต่เพียงลักษณะของรูปชนิดหนึ่ง เมื่อไม่รู้ก็ยึดถือรูปนั้น จะอ่อนก็เป็นตัวเรา จะแข็งก็เป็นตัวเรา จะเย็นก็เป็นตัวเรา จะร้อนก็เป็นตัวเรา จะตึงไหวก็เป็นตัวเรา เห็นรูปว่าเป็นตน [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 133]
สำหรับการเห็นผิดในรูป ๔ ประการ
ประการที่ ๑ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑ คือ ถือรูปนั้นเองว่าเป็นตน
ประการที่ ๒ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ สักกายทิฏฐิเป็นการที่ไม่รู้ชัดในขันธ์ทั้ง ๕ คือ ทั้งในรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์
เพราะฉะนั้น ในข้อที่ว่า ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ คือ ผู้ที่ยึดมั่นในเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ว่าเป็นตน
ย่อมเห็นตนว่ามีรูป คือ เห็นนามขันธ์ว่ามีรูป ทรงอุปมาว่า เหมือนกับต้นไม้ที่มีเงา
การที่ยึดถือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน ก็เห็นว่าตัวตนนี้มีรูป เหมือนกับต้นไม้มีเงา
ประการที่ ๓ คือ ย่อมเห็นรูปในตน ๑
นี่ก็โดยนัยที่ว่ายึดถือนามขันธ์ ๔ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ว่าเป็นตน แล้วก็เห็นรูปในตน ถ้าฟังอุปมาจะเข้าใจชัดเพราะทรงอุปมาว่า เหมือนกับดอกไม้ที่มีกลิ่น
กลิ่นดอกไม้ก็เป็นกลิ่น ดอกไม้ก็เป็นดอกไม้ แต่ว่ากลิ่นดอกไม้อยู่ที่ไหน กลิ่นดอกไม้ก็อยู่ในดอกไม้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยึดถือในนามขันธ์ ๔ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ว่าเป็นตน ย่อมเห็นรูปในตนเหมือนกับกลิ่นดอกไม้ที่มีอยู่ในดอกไม้
ประการที่ ๔ คือ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ อุปมาเหมือนกับ ขวดที่มีแก้วมณีอยู่ข้างใน คือ มีเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ในรูป
สักกายทิฏฐินี้มากมายจริงๆ จะเห็นได้ว่า กว่าจะละจะคลายได้ ปัญญาจะต้องรู้มาก รู้ทั่ว รู้ยิ่งจริงๆ
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 133
สำหรับเรื่องของเวทนาขันธ์ ก็โดยนัยเดียวกันกับรูปขันธ์ เปลี่ยนแต่พยัญชนะ คือ
ประการที่ ๑ ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑
ประการที่ ๒ ย่อมเห็นตนมีเวทนา ๑ ยึดถือว่าสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ และรูปขันธ์เป็นตน เพราะฉะนั้น จึงถือว่า ย่อมเห็นตนมีเวทนา
ประการที่ ๓ ย่อมเห็นเวทนาในตน ก็โดยนัยเดียวกัน เมื่อยึดถือสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปขันธ์ว่าเป็นตัวตน ก็ย่อมเห็นเวทนาในตน
ประการที่ ๔ ย่อมเห็นตนในเวทนา ก็โดยนัยเดียวกัน คือ ยึดถือสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ และรูปขันธ์ว่าเป็นตน เพราะฉะนั้น ก็ย่อมเห็นตนในเวทนา
เปลี่ยนไปแต่พยัญชนะ แล้วก็เปลี่ยนขันธ์ไปเรื่อยๆ ขันธ์ละ ๔ ลักษณะ ก็เป็น ๒๐ เพราะว่าโดยมากก็พูดกันย่อๆ ว่าสักกายทิฏฐิ ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน บางครั้งก็ยึดสภาพธรรมนั้น บางครั้งก็ยึดสภาพธรรมนี้ทั่วไปหมด เพราะความไม่รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 133
ถ. (ไม่ได้ยิน)
สุ. อย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้ท่านผู้ฟังได้ระลึกว่า สักกายทิฏฐินั้นมีมาก หนาแน่นและเหนียวแน่น เพราะเหตุว่าถ้าจะกล่าวเพียงว่า สักกายทิฏฐิ คือ การยึดถือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ว่าเป็นตัวตน แต่เวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็ต่างกันไปเป็นขันธ์ละ ๔ อย่าง
