ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานต้องเป็นผู้ตรง
มีผู้เจริญสติปัฏฐานหลายท่านกล่าวว่า แต่ก่อนนี้ท่านก็เคยเจริญสมาธิ มีความสงบมาก แต่พอท่านเจริญสติปัฏฐาน เวลาที่ฟังแนวทางเจริญสติปัฏฐาน แล้วก็เริ่มเจริญสติปัฏฐาน ท่านบอกว่า อายตัวเองเหลือเกิน เพราะว่าใครจะรู้จักใจตนเองดีเท่ากับผู้ที่เจริญสติย่อมไม่มี ตามธรรมดาทุกท่านก็มีโลภะ โทสะ โมหะ ในลักษณะที่ต่างๆ กัน สะสมกันมามากมาย แต่ท่านไม่ได้ระลึกรู้เลยว่า ตัวของท่านมีความน่ารังเกียจ เพราะเหตุว่าสติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมในขณะที่กำลังเกิดขึ้นและปรากฏ แต่เวลาที่ท่านเจริญสติปัฏฐาน เป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่มีอะไรมาปิดบัง ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานก็กล่าวว่า อายตัวเองมาก เพราะมีความไม่ดีมากมายหลายอย่างเหลือเกิน ถึงแม้ว่าบุคคลอื่นจะรู้ไม่ได้ แต่ตัวเองรู้ได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 141]
ถ้าใครจะกล่าวว่า รู้จักท่านผู้ใดผู้หนึ่งดี ก็ไม่จริงเท่ากับบุคคลผู้นั้นเองที่กำลังเจริญสติจึงจะสามารถทราบว่า จิตใจของท่านน่าอายสักเท่าไรขณะที่เป็นไปในอกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานต้องเป็นผู้ตรง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในเพศใด ถ้าท่านมีศรัทธาที่จะละอาคารบ้านเรือนเป็นเพศบรรพชิต ท่านจะต้องตรงต่อศรัทธาที่มั่นคงของท่านที่สละละการครองเรือนจริงๆ หรือว่าการประพฤติอย่างฆราวาสจริงๆ แล้วก็เจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ขัดเกลาด้วยธรรมวินัย จึงจะสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ต้องเป็นผู้ตรง ฆราวาสที่ยังไม่ละอาคารบ้านเรือน ก็ต้องตรงต่อสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้น แม้ว่าจะน่าอายแต่สติก็ระลึกว่า เป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นเพราะสะสมมาตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป
นี่เป็นหนทางเดียวที่จะละอกุศลต่างๆ ที่ท่านสะสมมาให้ลดคลายและบรรเทาไปได้ เพราะมีหลายท่านได้มาเล่าให้ฟังว่า ในอดีตท่านเคยเป็นผู้ที่ถือตัวจัด โทสะกล้า ทั้งกิริยา ทั้งวาจา ทุกอย่างหมด ท่านเจริญสมาธิสามารถที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แต่ท่านกล่าวว่า ถ้าท่านยังขืนติด หรือว่ามีมานะ มีความทะนงตนในสภาพของจิตที่สงบ สามารถที่จะรู้แจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้แล้วละการที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตนได้ เพราะเหตุว่าในขณะนั้นเป็นตัวตน เป็นความพอใจ เป็นความต้องการ เป็นการติดในสภาพธรรมที่ท่านมีสมาธิดี [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 141]
เพราะฉะนั้น เรื่องของการติดมีมากมายเหลือเกิน มีตั้งแต่อย่างหยาบๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไปจนถึงกระทั่งอารมณ์ที่ละเอียด ดังนั้น หนทางเดียวที่จะละได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะน่าติดสักแค่ไหนก็ตาม คือ สติระลึกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นก็ดับ สติก็ดับ เพราะฉะนั้น ปรารภสติ สติเกิดอีก ระลึกอีก รู้ลักษณะของนามรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าปัญญาจะรู้ชัด แล้วก็ละได้จริงๆ เป็นสมุจเฉท เพราะว่าการเจริญปัญญาแล้วต้องละ ไม่ใช่ต้องติด [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 141]
