อัปปมาทสูตร
สำหรับประโยชน์ของกุศลธรรม ขอกล่าวถึง อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต อัปปมาทสูตร ซึ่งมีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีประมาณเท่าใด ไม่มีเท้าก็ดี สองเท้าก็ดี สี่เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็ดี พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่า เป็นยอดของสัตว์เหล่านั้น ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีความไม่ประมาทเป็นมูล ประชุมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่า เป็นยอดของกุศลธรรมเหล่านั้น
แสดงให้เห็นว่า เวลาที่กุศลจิตจะเกิดขึ้นแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม จะต้องเพราะมีความไม่ประมาท ประชุมลงในความไม่ประมาท มีความไม่ประมาทเป็นมูล กายทุจริตย่อมเกิดขึ้นได้ในขณะที่ประมาท สติไม่ได้ระลึกรู้สภาพธรรมนั้นว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควร วจีทุจริตเกิดได้ในขณะที่ประมาท สติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะว่า วาจาเช่นนั้นควรหรือไม่ควร [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 166]
เพราะฉะนั้น จะเห็นคุณของสติว่า ถ้าปราศจากสติซึ่งเป็นธรรมที่ระลึกแล้วกุศลจิตย่อมเกิดไม่ได้ กำลังให้ทานที่ไหนก็ได้ กำลังถวายอาหารบิณฑบาตที่ไหนก็ได้ เจริญสติปัฏฐานได้ไหม ได้ เพราะว่าขณะนั้นเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ขณะที่กำลังจะกล่าววจีทุจริต แต่วิรัติเพราะเห็นว่า ไม่เกื้อกูล ไม่เป็นประโยชน์ สภาพธรรมที่วิรัติในขณะนั้นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง จิตในขณะนั้นเป็นกุศลจิต เวลาที่สติระลึกรู้ แม้ในขณะนั้นก็รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่สภาพของนามธรรม [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 166]
