ปฐมกิรสูตร
สำหรับข้อความที่ว่า ผู้ที่ศึกษาธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ด้วยดี ทั้งอรรถและพยัญชนะทั้ง ๓ ปิฎก คือ ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรมนั้น จะเหมือนคนตาบอดคลำช้างหรือไม่ เพราะเหตุว่าคงจะได้ยินบ่อยๆ เรื่องของตาบอดคลำช้าง แล้วอาจจะไม่ทราบที่มาที่ไปของพยัญชนะนี้
ขุททกนิกาย อุทาน ปฐมกิรสูตร มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้น สมณะพราหมณ์ปริพาชกมากด้วยกัน ผู้มีลัทธิต่างๆ กัน มีทิฏฐิต่างกัน มีความพอใจต่างกัน มีความชอบใจต่างกัน อาศัยทิฏฐินิสัยต่างกัน อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี
สมณะพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง นี่แหละจริง อื่นเปล่า
ส่วนสมณะพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โลกไม่เที่ยง นี่แหละจริง อื่นเปล่า
สมณะพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี นี่แหละจริง อื่นเปล่า
สมณะพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอื่นก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอื่นก็หามิได้ นี่แหละจริง อื่นเปล่า
สมณะพราหมณ์เหล่านั้นเกิดบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกันด้วยความคิดเห็น ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ภิกษุมากด้วยกันนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส สมณะ พราหมณ์ ปริพาชกมากด้วยกัน ผู้มีลัทธิต่างๆ กัน มีทิฏฐิต่างกัน มีความพอใจต่างกัน มีความชอบใจต่างกัน อาศัยทิฏฐินิสัยต่างกัน อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี
สมณะพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง นี่แหละจริง (ข้อความต่อไปแสดงความเห็นตามที่ได้กล่าวแล้ว)
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อัญญเดียรถีย์เป็นคนบอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความเสื่อมใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม เมื่อไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความเสื่อมใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม ก็บาดหมางกัน ทะเลาะกัน
นี่เป็นข้อความโดยย่อ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 121]
พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้วในพระนครสาวัตถีนี้แล มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ครั้งนั้นแล พระราชาพระองค์นั้นตรัสเรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า ดูกร บุรุษผู้เจริญ นี่แน่ะเธอ คนตาบอดในพระนครสาวัตถีมีประมาณเท่าใด ท่านจงบอกให้คนตาบอดเหล่านั้นทั้งหมดมาประชุมร่วมกัน บุรุษนั้นทูลรับพระราชดำรัสแล้ว พวกคนตาบอดในพระนครสาวัตถีทั้งหมดเข้าไปเฝ้าพระราชาถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบบังคมทูลพระราชาพระองค์นั้นว่า ขอเดชะ พวกคนตาบอดในพระนครสาวัตถีมาประชุมกันแล้วพระพุทธเจ้าข้า พระราชาพระองค์นั้นตรัสว่า แน่ะ พะนาย ถ้าอย่างนั้นท่านจงแสดงช้างแก่พวกคนตาบอดเถิด
บุรุษนั้นทูลรับพระราชดำรัสแล้ว แสดงช้างแก่พวกคนตาบอด คือ แสดงศีรษะช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงหูช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงงาช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงงวงช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงตัวช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงเท้าช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงหลังช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงโคนหางช้างแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้ แสดงปลายหางช้าแก่คนตาบอดพวกหนึ่งว่า ช้างเป็นเช่นนี้
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล บุรุษนั้น ครั้นแสดงช้างแก่บุรุษคนตาบอดแล้ว เข้าไปเฝ้าพระราชาพระองค์นั้นถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ คนตาบอดเหล่านั้นเห็นช้างแล้วแล บัดนี้ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงสำคัญเวลาอันควรเถิดพระเจ้าข้า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล พระราชาพระองค์นั้นเสด็จเข้าไปถึงที่คนตาบอดเหล่านั้น ครั้นแล้วได้ตรัสถามว่า ดูกร คนตาบอดทั้งหลาย พวกท่านได้เห็นช้างแล้วหรือ คนตาบอดเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้เห็นแล้วพระเจ้าข้า
ซึ่งเมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ตรัสถามถึงลักษณะของช้าง คนตาบอดแต่ละพวกก็ได้ตอบตามความคิดเห็น คือ ตามส่วนของช้างซึ่งมีคนแสดงให้เฉพาะส่วนๆ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเป็นคนตาบอด ไม่มีจักษุ ย่อมไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความเสื่อมใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม
เมื่อไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความเสื่อมใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม ก็บาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน
นี่เป็นข้อความโดยย่อ
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ได้ยินว่า สมณะพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมข้องอยู่เพราะทิฏฐิทั้งหลายอันหาสาระมิได้เหล่านี้ ชนทั้งหลายผู้เห็นโดยส่วนเดียว ถือผิดซึ่งทิฏฐินิสสัย ย่อมวิวาทกัน
นี่เป็นข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎก ในเรื่องของตาบอดคลำช้าง ซึ่งผู้ที่แสดงช้างก็แสดงกับคนตาบอดเป็นส่วนๆ คือ พวกหนึ่งก็แสดงส่วนหนึ่ง อีกพวกหนึ่งก็แสดงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้แสดงตลอดหมด
พระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วด้วยดีทั้งพระวินัยปิฎก ทั้งพระสุตตันตปิฎก ทั้งพระอภิธรรมปิฎก เป็นศาสดาแทนพระองค์ ย่อมเกื้อกูลบุคคลผู้ศึกษา สอบทาน เทียบเคียง ประพฤติปฏิบัติตาม ให้เกิดความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าผู้ใดศึกษาและเข้าใจธรรม เทียบเคียง สอบทานทั้ง ๓ ปิฎก ประพฤติปฏิบัติตาม ได้รู้สภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง จะยังชื่อว่าผู้ที่ศึกษาธรรม เทียบเคียงธรรม เป็นผู้ที่เหมือนกับคนตาบอดคลำช้างได้ไหม
พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงมอบหมายให้บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัยได้ทรงแสดงไว้แล้วด้วยดีเป็นศาสดาแทนพระองค์
พระสูตรนี้เพื่อที่จะให้ผู้ฟังได้พิจารณาสอบทานธรรมทั้ง ๓ ปิฎก ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้ที่มีครูอาจารย์แล้ว ก็ไม่ใช่เหมือนแถวของคนตาบอดซึ่งเกาะตามๆ กันไป [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 121]
อย่างใน มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ จังกีสูตร คนต้นก็ไม่รู้ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง คนที่อยู่กลางก็ไม่รู้ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง คนที่อยู่หลังก็ไม่รู้ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง ก็เกาะๆ ตามกันไปเรื่อยๆ แต่พระธรรมวินัยมีไว้สำหรับเป็นศาสดาแทนพระองค์ให้ผู้ที่ได้ศึกษาได้พิจารณา ใคร่ครวญ ประพฤติปฏิบัติตาม และรู้สภาพธรรมถูกต้องกับความเป็นจริงด้วย
โลภมูลจิตมีไหม จักขุวิญญาณการเห็นมีไหม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เมื่อเป็นของจริง รู้ความจริงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ไหม หรือว่ารู้ไม่ได้ ถ้าเป็นของที่มีจริงแล้วรู้ไม่ได้ ผู้นั้นก็ยังคงเป็นคนตาบอดต่อไป แต่ถ้าเป็นของจริง มีผู้ชี้หนทางที่จะให้รู้ความจริง ผู้นั้นก็ย่อมจะหายจากความเป็นคนตาบอดได้
นี่คือประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมวินัย และการประพฤติปฏิบัติตามด้วย เพราะเหตุว่าปรมัตถธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นจิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ เมื่อย่อลงแล้วก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 121]
เพราะฉะนั้น เมื่อพระธรรมวินัยได้ทรงแสดงอย่างนี้ ผู้ศึกษามีความรู้ มีความเข้าใจในธรรมก็ประพฤติปฏิบัติตาม สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล เมื่อได้ศึกษาแล้ว ไม่ใช่เพียงผู้ฟังธรรม แต่เป็นผู้ประพฤติธรรมและเป็นผู้ถึงธรรม ซึ่งท่านจะต้องมีความเข้าใจในพยัญชนะทั้ง ๓ นี้ด้วย ฟังธรรม พิจารณาธรรม ถึงธรรม
ท่านฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป เรื่องปรมัตถ์ธรรม เรื่องอนัตตา เรื่องสภาพธรรมทั้งหลาย ทุกขณะ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย วนเวียนไปในวัฏฏะ ไม่พึงยึดถือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเลย มีของจริงที่มีลักษณะที่เป็นรูป มีลักษณะที่เป็นนามปรากฏให้รู้ นี่เป็นขั้นของการฟังธรรม
ส่วนขั้นของการพิจารณาธรรม ก็ต้องตรงกับขั้นของการฟังธรรมด้วย ไม่ใช่ว่าฟังอย่างหนึ่ง เข้าใจอย่างหนึ่ง แล้วประพฤติอีกอย่างหนึ่ง หรือว่าไม่ใช่พูดอย่างหนึ่ง กล่าวสอนอย่างหนึ่ง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง
สำหรับผู้ที่ถึงธรรมย่อมไม่มีข้อสงสัยว่า ขณะนี้อะไรเป็นนามอะไรเป็นรูป แต่ผู้ที่ไม่ถึงธรรม ขณะนี้เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ทั้งๆ ที่ทางตาก็มีนามมีรูป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทางหูมีนามมีรูป ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นชีวิตของแต่ละคนที่ได้สะสมมาที่จะให้เกิดวิบากจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้เกิดอกุศลจิต กุศลจิต ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นจะไม่มีข้อสงสัยในธรรมเลย ไม่ว่าจะเป็นขณะใด และในสถานที่ใดด้วย เพราะเป็นผู้ที่เจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมของรูปธรรมทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งเป็นธรรม เมื่อพิจารณาธรรมมีความรู้มากขึ้น ทั่วขึ้น ก็จะไม่เห็นว่ามีสิ่งอื่นใดนอกจากสภาพธรรมที่เป็นนามเป็นรูปเท่านั้น นั่นคือ ผู้ที่ถึงธรรม
แต่ถ้าผู้ใดจะกล่าวว่า ถึงธรรม แต่ปฏิเสธว่า ขณะนี้เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ขณะนั้นไม่ใช่นามไม่ใช่รูป ขณะนี้ไม่สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปได้ ผู้นั้นไม่ถึงธรรม และไม่ได้ประพฤติตามธรรมที่ได้ฟังด้วย [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 121]
