มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ขณะจิตหนึ่งๆ เกิดขึ้น


    สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้างเท่านั้น แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมก็ตาม อาศัยกันและกันเกิดขึ้นโดยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง [ตอนที่ 1082]

    ทั้งนามธรรมและรูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ต่างกันก็จริง แต่ว่าอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไปโดยละเอียด โดยสภาพของลักษณะของธรรมนั้นๆ ซึ่งถ้าศึกษาโดยละเอียดจะเห็นได้ว่า ขณะจิตหนึ่งๆ ซึ่งเกิดขึ้นจะมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดขึ้น เช่น เหตุปัจจัย ที่เคยได้กล่าวถึงแล้ว ได้แก่ เจตสิก ๖ ดวง เป็นอกุศลเหตุ ๓ คือ โลภเจตสิก ๑ โทสเจตสิก ๑ โมหเจตสิก ๑ และโสภณเหตุ ๓ คือ อโลภเจตสิก ๑ อโทสเจตสิก ๑ อโมหเจตสิก ๑

    และไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะโลภเจตสิกเท่านั้น แต่มีเจตสิกอื่นเกิดร่วมด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โลภเจตสิกที่เกิดเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย คือ เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเป็นโลภมูลจิตเกิดขึ้น และทำให้อกุศลเจตสิกอื่นๆ เกิดร่วมด้วย เช่น ทำให้ความเห็นผิด คือ ทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วยก็ได้ หรือทำให้ความสำคัญตน คือ มานะเกิดร่วมก็ได้ นอกจากนั้นเวลาที่โลภเจตสิกเกิดกับโลภมูลจิตและเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเป็นสัมปยุตตธรรมเกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้นด้วย

    เพราะฉะนั้น นามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามปกติในชีวิตประจำวันแต่ละขณะที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วนั้น ถ้าได้ทราบถึงความละเอียดว่า สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้นโดยอาศัยสภาพธรรมใดเป็นปัจจัยแล้ว จะทำให้เห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ ว่า แม้จะเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องอาศัยความละเอียดของปัจจัยหลายปัจจัย สภาพธรรมนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า จะต้องศึกษาปริยัติธรรมละเอียดสักแค่ไหนจึงจะปฏิบัติได้ ที่ว่าเป็นปริยัติธรรมที่ละเอียด ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่อยู่ที่ทุกท่านในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง เพียงแต่ว่าท่านจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏที่ตัวท่านแต่ละบุคคลละเอียดแค่ไหน

    โดยไม่ละเอียดก็ทราบว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นในขณะนี้เป็นนามธรรมบ้าง เป็นรูปธรรมบ้าง เช่น กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นนามธรรม เสียงเป็นรูปธรรม ได้ยินเป็นนามธรรม เป็นต้น นี่โดยความ ไม่ละเอียด แต่แม้กระนั้นก็ยังยึดถือเห็น ยึดถือได้ยิน ยึดถือสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหูว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งก็ยังไม่พอ เพราะฉะนั้น ที่จะปฏิบัติธรรม ไม่ใช่รอให้เรียนจบ หรือว่าให้ละเอียดถึงขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ขณะใดที่ศึกษาเรื่องสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่เกิดขึ้นปรากฏ และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกได้ตามที่เข้าใจแล้วว่า สภาพธรรมใดไม่ใช่ตัวตนเพราะเป็นสภาพของนามธรรมชนิดใด สภาพธรรมใดไม่ใช่ตัวตนเพราะเป็นสภาพของรูปธรรมประเภทใด

    แต่ทุกท่านก็กล่าวว่า หลงลืมสติมาก ซึ่งก็เพราะการฟังหรือการเข้าใจเรื่องสภาพธรรมยังไม่ละเอียดพอ ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ตรึก พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ยินได้ฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่แจ่มแจ้ง ชัดเจนขึ้น เป็นสัญญาที่มั่นคง ทำให้ไม่หลงลืม และสติสามารถที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ขาดการฟัง ขาดความเข้าใจในความละเอียดของ สภาพธรรม แม้สติจะเกิดบ้าง ปัญญาก็ยังไม่คมพอที่จะละการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้

    ทำอย่างไรปัญญาจึงจะคมขึ้น เพราะสติก็ไม่มีปัจจัยที่จะเกิดบ่อยเท่ากับอวิชชา หรืออกุศลธรรมซึ่งสะสมพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ทางเดียว คือ ฟัง พระธรรมโดยละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเครื่องปรุงประกอบเป็นสังขารขันธ์ เวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมใด รูปธรรมใด ความเข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาโดยละเอียดยิ่งขึ้นของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นจะเกื้อกูลทำให้ปัญญาคมขึ้น เพราะรู้ว่าสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ตามที่ได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังควรที่จะศึกษาสภาพธรรมที่เป็นจิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์โดยละเอียดยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้จะกล่าวถึงสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเพียงสภาพธรรมเดียว เช่น ผัสสเจตสิก ก็รวมไปถึงจิตทุกดวงได้ เพราะผัสสเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง และยังรวมไปถึงเจตสิกทุกดวงได้ เพราะ ผัสสเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวงและเกิดกับเจตสิกทุกดวง และยังรวมไปถึงรูปทุกชนิดได้ เพราะเมื่อผัสสะเกิดกับจิตและเจตสิกทุกดวง ก็เป็นปัจจัยให้รูปทุกชนิดเกิดขึ้นได้ด้วย [ตอนที่ 1083]


    หมายเลข 13821
    1 ก.ค. 2568