ธนุคคหสูตร


    เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้เห็นว่า ในพระไตรปิฎกได้ทรงแสดงความรวดเร็วของการเกิดดับของสังขารธรรม ขอกล่าวถึง สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ธนุคคหสูตร ซึ่งมีข้อความว่า

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณ-ฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นายขมังธนู ๔ คน ถือธนูอันมั่นคง ได้ศึกษามาดีแล้ว เป็นผู้มีความชำนาญ เป็นผู้มีศิลปะอันได้แสดงแล้ว ยืนอยู่แล้วในทิศทั้ง ๔

    ถ้าบุรุษพึงมากล่าวว่า เราจักจับลูกธนูทั้งหลาย ที่นายขมังธนูทั้ง ๔ เหล่านี้ยิงมาจากทิศทั้ง ๔ ไม่ให้ตกถึงแผ่นดิน เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ควรจะกล่าวได้ว่า บุรุษผู้มีความเร็ว ประกอบด้วยความเร็วอย่างยอดเยี่ยม ดังนี้หรือ

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าแม้บุรุษจะพึงจับลูกธนูที่นายขมังธนูเพียงคนเดียวยิง ไม่ให้ตกถึงแผ่นดิน ก็ควรจะกล่าวได้ว่า บุรุษผู้มีความเร็ว ประกอบด้วยความเร็วอย่างยอดเยี่ยม จะกล่าวไปใยถึงการจับลูกธนูทั้ง ๔ ลูก ที่นายขมังธนู ๔ คน ยิงมาจาก ๔ ทิศ แม้ฉันใด

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ความเร็วของพระจันทร์และพระอาทิตย์เร็วกว่าความเร็วของบุรุษนั้น ความเร็วของเทวดาที่ไปข้างหน้าพระจันทร์พระอาทิตย์ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษและความเร็วของพระจันทร์และพระอาทิตย์ อายุสังขารสิ้นไปเร็วกว่าความเร็วนั้นๆ เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ

    บางทีข้อความในพระสูตร สำหรับคนสมัยนี้อาจจะคิดว่า จะไม่ตรงกับความรู้สมัยใหม่ อย่างที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ความเร็วของพระจันทร์และพระอาทิตย์ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษนั้น

    ทรงใช้พยัญชนะว่า เหมือนอย่างว่า เป็นคำอุปมา แต่มิได้หมายความว่า พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงรู้ว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่เพื่อเป็นการเปรียบเทียบให้คนเห็นได้ และที่ว่าความเร็วของพระจันทร์และพระอาทิตย์เร็วกว่าความเร็วของบุรุษนั้น คนเราจะเดินรอบโลกวันหนึ่งได้ไหมไม่ได้ แต่พระจันทร์พระอาทิตย์ได้ไหม ขึ้น แล้วก็ตก เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทุกคนจะมองเห็นได้ และทรงใช้พยัญชนะว่า เหมือนอย่างว่า เป็นการอุปมาความเร็วของเทวดาที่ไปข้างหน้าพระจันทร์พระอาทิตย์ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษและความเร็วของพระจันทร์และพระอาทิตย์ เทวดานี้ก็มีอิทธิฤทธิ์

    พระผู้มีพระภาคทรงหายพระองค์ เพียงลัดมือเดียวถึงพรหมโลกที่ไกลมากได้ แต่ก็ยังสามารถที่จะสำเร็จได้อย่างรวดเร็วด้วยอิทธิฤทธิ์ เทวดาจึงมีความเร็วกว่าพระจันทร์และพระอาทิตย์

    ไม่เคยเห็นเทวดา แต่ให้ทราบว่า ธรรมชาติทั้งหลายต้องมีเหตุมีปัจจัย ถ้าท่านผู้ฟังจะไตร่ตรองพิจารณาธรรมถึงสิ่งที่จะเป็นไปได้ไหม มีเหตุผลที่จะเป็นไปได้ไหม ก็ขอให้คิดพิจารณาก่อนที่จะคัดค้านว่าเป็นไปไม่ได้ เพียงเพราะเหตุว่าไม่เคยเห็น

    อายุสังขารสิ้นไปเร็วกว่าความเร็วนั้นๆ สังขารได้แก่นามและรูป และอายุสังขาร คือ อายุของนามและรูป เร็วมาก สั้นมาก ไม่ว่าจะเป็นอายุของนาม อายุของรูป รูปก็เกิดดับอย่างรวดเร็ว และนามนั้นเกิดดับเร็วยิ่งกว่ารูป [ตอนที่ 76]

    เปิดอ่าน ... ไม่เที่ยง มีแล้วหามีไม่

    สัมโมหวิโนทนี ซึ่งเป็น อรรถกถาวิภังคปกรณ์ แสดงความหมายของคำว่า ไม่เที่ยง คือ การหมดสิ้นไปว่า

    ชื่อว่า ไม่เที่ยง ด้วยอรรถว่า มีแล้วหามีไม่

    ง่ายๆ สั้นๆ แต่ก็ชัดเจน ชื่อว่า ไม่เที่ยง ด้วยอรรถว่า มีแล้วหามีไม่ ความสุขนิดหนึ่งเมื่อสักครู่นี้ มี หมดแล้ว มี แล้วก็หามีไม่

    ได้ยินทางหู มีเมื่อสัครู่นิดหนึ่ง แต่มีแล้วก็หามีไม่ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีนิดหนึ่ง แล้วก็หามีไม่ มีอีกนิดหนึ่ง แล้วก็หามีไม่ มีต่อไปอีกนิดหนึ่ง แล้วก็หามีไม่ เรื่อยไปในวัฏฏะ ไม่ว่าจะเป็นสุข ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    นี่เป็นลักษณะของความไม่เที่ยง แต่พยัญชนะนี้ยังมีข้อความต่อไปเพื่ออธิบายขยายให้เกิดความสลด ให้เกิดความเพียรที่จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท พิจารณาให้รู้ความจริงอันนี้ชัด

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ชื่อว่าไม่เที่ยง โดยเหตุแม้อีก ๔ อย่าง คือ

    โดยมีความเกิด และความเสื่อมไปเป็นที่สุด ๑

    โดยความแปรปรวน ๑

    โดยความเป็นของชั่วคราว ๑

    โดยค้านกับความเที่ยง ๑

    ต้องบอกหลายๆ อย่างที่จะอนุเคราะห์ให้เห็นความจริงของสภาพธรรมทั้งหลาย ถ้าเป็นอุคฆฏิตัญญูคงไม่ต้องอาศัยพระธรรมเทศนามากมายตลอด ๔๕ พรรษา พยัญชนะเดียวกัน แต่ผู้ที่อบรมอินทรีย์แก่กล้าแล้วสามารถแทงตลอด ประจักษ์ชัดในสภาพความจริงที่ไม่เที่ยง ที่เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นที่สุด ที่มีแล้วก็หามีไม่ ที่เป็นความแปรปรวน ที่ค้านกับความเที่ยง ที่เป็นของชั่วคราว เพราะฉะนั้น ควรเจริญสติเพื่อประจักษ์ลักษณะความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ทุกๆ ขณะ [ตอนที่ 76]


    หมายเลข 13801
    24 มิ.ย. 2568