อนุตริยะ ๖


    ขอกล่าวถึงอนุตตริยะ ๖ สำหรับอนุตตริยะ คือ ธรรมอันสูงสุด ๖ ประการ อันเว้นจากอุตตริมนุสสธรรม อุตตริมนุสสธรรม ได้แก่ ฌานจิตและโลกุตตรจิต ส่วน จิตอื่นๆ เป็นอนุตตริยะ คือ ธรรมอันสูงสุด ๖ ประการ ได้แก่

    ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม ๑

    สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม ๑

    ลาภานุตตริยะ การได้ลาภอันยอดเยี่ยม ๑

    สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันยอดเยี่ยม ๑

    ปาริจริยานุตตริยะ การบำรุงอันยอดเยี่ยม ๑

    อนุสสตานุตตริยะ การระลึกที่ยอดเยี่ยม ๑

    สำหรับท่านพระอานนท์ ท่านเป็นผู้ที่พร้อมด้วยอนุตตริยะทั้ง ๖ คือ

    ท่านพระอานนท์เถระได้เพื่ออันเห็นพระผู้มีพระภาคในเวลาเย็น ในเวลาเช้า ด้วยจักขุวิญญาณ นี้ชื่อว่าทัสสนานุตตริยะ บุคคลอื่นมีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ย่อมได้เพื่ออันเห็นพระผู้มีพระภาคเหมือนท่านพระอานนท์ นี้ชื่อว่า ทัสสนานุตตริยะ ส่วนกัลยาณปุถุชนอื่น ได้เพื่ออันเห็นพระผู้มีพระภาคเช่นเดียวกับท่านพระอานนท์แล้ว ทำการเห็นนั้นให้เจริญ ย่อมให้ถึงโสตาปัตติมรรค นี้ชื่อว่า ทัสสนะนั่นเทียว แต่ทัสสนะที่เป็นมูล ชื่อว่าทัสสนานุตตริยะ

    การเห็นอันยอดเยี่ยมของทุกคน จะไม่เห็นอะไรประเสริฐเท่ากับเห็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท่านอาจจะอยากเห็นเพชรนิลจินดาที่พิเศษ ที่กล่าวกันว่ามีค่ามหาศาล หรือบางท่านอาจจะอยากเห็นสวรรค์ อาจจะอยากเห็นวิมานของเทพบุตรเทพธิดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ แต่นั่นไม่ชื่อว่าการเห็นอย่างยอดเยี่ยม

    สำหรับผู้ที่เป็นพุทธบริษัท ก็อาจจะมีความคิดว่า อยากจะเห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านพระอานนท์ได้เพื่ออันเห็นพระผู้มีพระภาคในเวลาเย็น ในเวลาเช้าด้วยจักขุวิญญาณ นี้ชื่อว่าทัสสนานุตตริยะ แต่บุคคลอื่น เช่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็ย่อมได้เห็นพระผู้มีพระภาคเหมือนท่านพระอานนท์

    การเห็นของบุคคลใดก็ตามที่เห็นพระผู้มีพระภาค จักขุวิญญาณนั้นเป็นกุศลวิบาก เป็นทัสสนานุตตริยะ เพราะในสมัยนี้ไม่มีทางที่จะได้เห็นเลย ไม่ว่าใครจะสร้างพระพุทธรูปในลักษณะต่างๆ ก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนในยุคนี้ไม่มีจักขุวิญญาณกุศลวิบากที่จะเห็นองค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนพุทธบริษัทในครั้งนั้น

    กัลยาณปุถุชน คือ ผู้ที่มีธรรมงาม ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ผู้ที่เข้าใจหนทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ได้เพื่ออันเห็นพระผู้มีพระภาคเช่นเดียวกันกับท่านพระอานนท์ แล้วทำการเห็นนั้นให้เจริญ ย่อมให้ถึงโสตาปัตติมรรค นี้ชื่อว่าทัสสนะนั่นเทียว แต่ทัสสนะที่เป็นมูล ชื่อว่าทัสสนานุตตริยะ เพราะการถึงโสตาปัตติมรรคจะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีทัสสนะที่เป็นมูล ที่เป็นทัสสนานุตตริยะ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1462]

    ก็ท่านพระอานนท์เถระได้เพื่อการฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเนืองๆ ด้วยโสตวิญญาณ นี้ชื่อว่า สวนานุตตริยะ ชนเหล่าอื่นมีพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมได้เพื่ออันฟังซึ่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเหมือนท่านพระอานนท์เถระ นี้ชื่อว่า สวนานุตตริยะ ก็บุคคลอื่นผู้เป็นปุถุชนและกัลยาณชนได้แล้วเพื่ออันฟังซึ่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเหมือนท่านพระอานนท์เถระ นี้ชื่อว่าสวนานุตตริยะ ก็บุคคลอื่นผู้เป็นปุถุชนและกัลยาณชนได้แล้วเพื่ออันฟังซึ่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเหมือนท่านพระอานนท์เถระ ยังการฟังนั้นให้เจริญแล้ว ย่อมให้ถึงโสตาปัตติมรรค นี้ชื่อว่าสวนะนั่นเทียว ก็สวนะที่เป็นมูลชื่อว่า สวนานุตตริยะ

    นี่คือการฟังอันประเสริฐ แต่ถ้าเป็นการได้ยินพระสุรเสียงจริงๆ ต้องเป็นโสตวิญญาณกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น ในสมัยนี้ไม่มีโสตวิญญาณกุศลวิบากที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาค แต่ยังมีโสตวิญญาณกุศลวิบากที่ได้ฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว และสำหรับผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชน เมื่อฟังแล้วก็ทำให้กุศลนั้นเจริญขึ้นจนถึงโสตาปัตติมรรค ชื่อว่าสวนะ และสวนะที่เป็นมูล ชื่อว่าสวนานุตตริยะ

    เพราะฉะนั้น การฟังอย่างอื่นไม่ใช่การฟังที่ยอดเยี่ยม นอกจากการฟังพระธรรม

    ท่านพระอานนท์เถระย่อมศรัทธาในพระผู้มีพระภาค นี้ชื่อว่าลาภานุตตริยะ ชนเหล่าอื่นมีพระโสดาบันเป็นต้น ได้แล้วซึ่งการได้ศรัทธาในพระผู้มีพระภาค ย่อมได้ลาภเฉพาะ นี้ชื่อว่าลาภานุตตริยะ ก็บุคคลผู้อื่นเป็นปุถุชนและกัลยาณปุถุชนได้แล้ว ซึ่งการได้ศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเหมือนท่านพระอานนท์เถระ ยังการได้ลาภนั้นให้เจริญแล้วย่อมให้ถึงโสตาปัตติมรรค นี้ชื่อว่าลาภนั่นเทียว แต่การได้อันเป็นมูล ชื่อว่าลาภานุตตริยะ

    เรื่องของการได้ลาภซึ่งทุกท่านแสวงหา ลาภอื่นได้มาแล้วก็หมดไป นอกจากลาภที่ประเสริฐกว่าลาภอื่นทั้งหมด คือ การได้ศรัทธาในพระศาสนาที่สามารถทำให้บุคคลนั้นอบรมเจริญปัญญาขึ้นจนถึงความเป็นพระอริยบุคคล

    ก็ท่านพระอานนท์เถระย่อมศึกษาไตรสิกขาในศาสนาของพระผู้มีพระภาค นี้ชื่อว่าสิกขานุตตริยะ ภิกษุแม้อื่นมีพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมศึกษาไตรสิกขาในศาสนาของพระผู้มีพระภาคดุจท่านพระอานนท์เถระ แม้นี้ชื่อว่าสิกขานุตตริยะ ก็บุคคลอื่น ผู้เป็นปุถุชนและกัลยาณชนศึกษาไตรสิกขาในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเหมือนท่านพระอานนท์เถระ ยังการศึกษาเหล่านั้นให้เจริญแล้ว ย่อมให้ถึงโสตาปัตติมรรค นี้ชื่อว่าสิกขานั่นเทียว แต่สิกขาที่เป็นมูล ชื่อว่าสิกขานุตตริยะ

    ก็ท่านพระอานนท์เถระย่อมปรนนิบัติพระผู้มีพระภาคเนืองนิตย์ นี่ชื่อว่า ปาริจริยานุตตริยะ ภิกษุแม้เหล่าอื่นมีพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมปรนนิบัติ พระผู้มีพระภาคเนืองนิตย์เหมือนท่านพระอานนท์เถระ แม้นี้ก็ชื่อว่าปาริจริยานุตตริยะ ก็บุคคลอื่นอีก มีปุถุชนและกัลยาณชนปรนนิบัติพระผู้มีพระภาคเหมือนท่าน พระอานนท์เถระ ยังการปรนนิบัตินั้นให้เจริญ ย่อมให้ถึงโสตาปัตติมรรค นี้ชื่อว่า ปาริจริยานุตตริยะนั่นเทียว ก็การปรนนิบัติอันเป็นมูล ชื่อว่าปาริจริยานุตตริยะ

    ก็ท่านพระอานนท์เถระย่อมระลึกถึงพระคุณอันเป็นโลกียะและโลกุตตระของพระผู้มีพระภาค ชื่อว่าอนุสสตานุตตริยะ ภิกษุแม้เหล่าอื่นมีพระโสดาบันเป็นต้น ก็เหมือนท่านพระอานนท์เถระ ระลึกถึงพระคุณอันเป็นโลกียะและโลกุตตระของ พระผู้มีพระภาค แม้นี้ก็ชื่อว่าอนุสสตานุตตริยะ ก็บุคคลอื่นผู้เป็นปุถุชนและกัลยาณชนเหมือนท่านพระอานนท์เถระ ระลึกถึงพระคุณอันโลกียะและโลกุตตระของพระผู้มีพระภาค ยังอนุสสตินั้นให้เจริญแล้ว ย่อมให้ถึงโสตาปัตติมรรค นี้ชื่อว่าอนุสสติ ก็อนุสสติอันเป็นมูลนั้น ชื่อว่าอนุสสตานุตตริยะ

    มีใครระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคอย่างท่านพระอานนท์บ้างไหม คือ ย่อมระลึกถึงพระคุณอันเป็นโลกียะและโลกุตตระของพระผู้มีพระภาค

    พระคุณที่เป็นโลกียะ คือ เทศนาญาณ และพระคุณที่เป็นโลกุตตระ คือ ปฏิเวธญาณของพระผู้มีพระภาค ญาณ คือ ปัญญาใดที่ทำให้บุคคลนั้นแทงตลอดสภาพธรรมเพื่อตนเอง ญาณนั้นเป็นปฏิเวธญาณ แต่ญาณใดที่บุคคลนั้นเกื้อกูลอนุเคราะห์บุคคลอื่น ญาณนั้นคือเทศนาญาณ เป็นโลกียะ ไม่ใช่โลกุตตระ

    ท่านพระอานนท์ท่านเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมมาก เมื่อได้ฟังพระธรรมย่อมเห็น ในพระคุณของพระผู้มีพระภาคมากกว่าบุคคลที่ฟังน้อย เพราะฉะนั้น ท่านก็ระลึกถึงพระคุณที่เป็นโลกียะและโลกุตตระของพระผู้มีพระภาค

    สำหรับพุทธบริษัทในสมัยนี้ คิดดูว่า วันหนึ่งๆ ระลึกถึงอะไรได้บ่อยๆ ถ้าวันหนึ่งๆ ระลึกเป็นไปในพระคุณที่เป็นโลกียะและโลกุตตระของพระผู้มีพระภาค ก็เป็นอนุสสตานุตตริยะถ้าสามารถทำให้เจริญขึ้นถึงความเป็นพระอริยบุคคล ถ้าระลึกถึงเรื่องอื่น ขณะนั้นก็ยากที่ปัญญาจะเจริญ แต่ถ้าระลึกไปในเรื่องของพระธรรม พิจารณาพระธรรมพร้อมกับสติปัฏฐาน และสามารถระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ แม้ในขณะที่ฟัง ในขณะที่เห็น ในขณะที่คิด ย่อมรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เมื่อเหตุสมควรแก่ผล [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1463]


    หมายเลข 13772
    28 ก.ค. 2568