รัชชสูตร


    ขอต่อเรื่องของมาร ซึ่งท่านที่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจะไม่พ้นจากนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้น แม้แต่เรื่องของมาร ก็เป็นเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมด้วย ขออ่านข้อความบางสูตรจากพระไตรปิฎก ที่จะทำให้ท่านได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งโน้นกับพระผู้มีพระภาคและพระสาวก

    สังยุตตนิกาย สคาถวรรค รัชชสูตร ที่ ๑๐ มีข้อความว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่า ในประเทศหิมวันต์ แคว้นโกศล ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับทรงพักผ่อนอยู่ในที่ลับ ได้ทรงปริวิตกว่า เราจะสามารถเสวยรัชสมบัติโดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำให้ผู้อื่นให้เสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขาทำผู้อื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเองไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศกได้หรือไม่

    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยจิตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    ขอพระผู้มีพระภาคจงเสวยรัชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า ขอพระสุคตจงเสวย รัชสมบัติโดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขาทำผู้อื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศก

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร มารผู้มีบาป ท่านเห็นอะไรของเรา ทำไมจึงได้พูดกะเราอย่างนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงเสวยรัชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า ขอพระสุคตจงเสวยรัชสมบัติโดยธรรม โดยที่ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเอง ไม่ใช้ให้เขาทำผู้อื่นให้เสื่อม ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศก

    มารกราบทูลว่า

    พระเจ้าข้า อิทธิบาททั้ง ๔ พระองค์ทรงบำเพ็ญให้เจริญ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นวัตถุที่ตั้ง กระทำไม่หยุด สั่งสมปรารภด้วยดีแล้ว พระเจ้าข้า ก็เมื่อพระองค์ทรงพระประสงค์ ทรงอธิษฐานภูเขาหลวงที่หิมพานต์ให้เป็นทองคำล้วน ภูเขานั้นก็พึงเป็นทองคำล้วน

    พระผู้มีพระภาคตรัสกับมารด้วยพระคาถาว่า

    ภูเขาทองคำล้วนมีสีสุกถึงสองเท่า ก็ยังไม่พอแก่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลทราบดังนี้แล้ว พึงประพฤติสงบ ผู้ใดได้เห็นทุกข์ มีกามเป็นเหตุแล้ว ไฉนผู้นั้นจะพึงน้อมใจไปในกามเล่า บุคคลทราบอุปธิว่า เป็นเครื่องข้องในโลกแล้ว พึงศึกษา เพื่อกำจัดอุปธินั้นเสีย

    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นเอง

    ข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภูเขาทองคำล้วนมีสีสุกถึงสองเท่า ก็ยังไม่พอแก่บุคคลคนหนึ่ง ท่านพอไหม ภูเขาทองคำมีสีสุกถึงสองเท่า ไม่ใช่เขาเพียงลูกเดียว ก็ยังไม่พอแก่บุคคลคนหนึ่งผู้ที่มีความโลภ และสะสมความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ สังเกตดูได้ว่า ความปรารถนาของท่านอาจจะไม่มากถึงภูเขาทองคำมีสีสุกในวันนี้ แต่ว่าเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เรื่อยๆ ไป หรือว่าน้อยลงไปทีละเล็กทีละน้อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    การเพิ่มพูนกิเลสนั้น เป็นไปอย่างบางเบา จนกระทั่งวันหนึ่งๆ ท่านไม่รู้สึกตัวเลยว่า วันนี้กิเลสหนาขึ้นเท่าไร เห็นครั้งหนึ่ง จักขุวิญญาณเกิดขึ้นขณะเดียวแล้วดับไป แต่โลภชวนจิตเกิดถึง ๗ ครั้ง โทสมูลจิตก็เกิดถึง ๗ ครั้ง โมหมูลจิตก็เกิดซ้ำสืบต่อกันถึง ๗ ครั้ง เป็น ๗ เท่าของการเห็นขณะหนึ่ง การได้ยินขณะหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งการเห็นในขณะนี้ปรากฏเหมือนกับว่าไม่ดับเลย แต่โลภะ โทสะ โมหะ เพิ่มเป็น ๗ เท่า แต่ไม่รู้สึกว่าโลภะ โทสะ โมหะที่เพิ่มขึ้นอย่างบางๆ ทีละเล็กทีละน้อยทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง มากสักเท่าไรแล้ว ถ้าสติไม่เกิดขึ้น ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    การละ การคลายกิเลสที่สะสมไว้มากมายเหลือเกิน จะต้องในขณะที่สติกำลังระลึก และก็เริ่มรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมอย่างบางเบา ทีละเล็ก ทีละน้อย ขจัดความไม่รู้ออกไปอย่างบางๆ เบาๆ เช่นเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ทุกท่านไม่ควรเป็นผู้ประมาทเลย ท่านอาจจะไม่มีความปรารถนาในภูเขาทองคำล้วนมีสีสุกถึง ๒ เท่าในวันนี้ แต่ถ้าตราบใดที่ยังคงมีความปรารถนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย ทีละนิดทีละหน่อย วันนี้ได้แล้วสิ่งที่ต้องการ ยังมีอะไรเหลือที่ยังต้องการอยากได้อีกหรือเปล่า อีกมาก อีกหลายอย่าง หรือเปล่า เป็นการเพิ่มพูนขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนวันหนึ่ง ใครจะรู้ว่าท่านถึงกับปรารถนาภูเขาทองคำล้วนมีสีสุกถึง ๒ เท่า ซึ่งถ้าได้มาแล้วจะหมดความปรารถนาไหมหรือว่าก็ยังคงมีความปรารถนาในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอื่นเรื่อยๆ ไป เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ก็ต้องเป็น

    ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับมารด้วยพระคาถาว่า ภูเขาทองคำล้วนมีสีสุกถึง ๒ เท่า ก็ยังไม่พอแก่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลทราบดังนี้แล้ว พึงประพฤติสงบ ผู้ใดได้เห็นทุกข์ มีกามเป็นเหตุแล้ว ไฉนผู้นั้นจะพึงน้อมใจไปในกามเล่า บุคคลทราบอุปธิว่า เป็นเครื่องข้องในโลกแล้ว พึงศึกษา เพื่อกำจัดอุปธินั้นเสีย

    ขณะนี้ทราบ แต่ยังต้องศึกษา เพื่อกำจัดอุปธิ ซึ่งไม่ใช่ว่าอุปธิ หรือความทุกข์ หรือเหตุของความทุกข์นั้น จะหมดไปเพียงขั้นของความเข้าใจ แต่จะต้องอาศัยขั้นการประพฤติปฏิบัติ อบรมเจริญปัญญาที่สมบูรณ์ถึงขั้นที่จะละกิเลส ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 294]


    หมายเลข 13748
    15 มิ.ย. 2568